ส่องเทรนด์ “ต้นไม้ฟอร์มสวย” พร้อมการดูแล

ส่องเทรนด์ “ต้นไม้ฟอร์มสวย” พร้อมการดูแล


– Heliconaia Striata

นับเป็นพันธุ์ไม้หน้าใหม่ที่ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะ “กล้วยด่างฟลอริดา” เพราะเดี๋ยวนี้อะไรที่เป็นด่างไม่มีคำว่าถูก แถมยังสวยอีกด้วย ลักษณะภายนอกเหมือนกล้วยบ้านเรา ต่างกันตรงที่ใบและลำต้นจะมีสีด่างขึ้นเป็นลายริ้วๆ น่ามอง ให้ผลเหมือนกัน แต่กล้วยพันธุ์นี้รสชาติเหมือนกล้วยไข่อมเปรี้ยว จึงไม่ค่อยมีใครนำมากินเท่าไร หลายคนนิยมนำมาปลูกไว้ในบ้าน นับเป็นประสบการณ์ใหม่ที่นำต้นกล้วยเข้ามาประดับในบ้านได้
การดูแลรักษา
กล้วยเป็นพืชที่ต้องการสารอาหารมากเป็นพิเศษ ยิ่งใครอยากชิมผลด้วย ยิ่งต้องได้รับการดูแลอย่างดี ไม่ให้ขาดทั้งแสงแดด น้ำและปุ๋ย แนะนำให้ปลูกลงดินให้ต้นแข็งแรงก่อนที่จะนำเข้าบ้าน


– Philodendron Pink Princess

ต้องยอมรับว่า Pink Princess ต้นไม้ใบด่างสีเงาดำเหลือบชมพูที่แต่เดิมเคยมีราคาแค่ไม่กี่ร้อย แต่หลังจากต้นไม้นี้อวดโฉมผ่านอินสตาแกรมของญาญ่า อุรัสยา ก็ทำให้ราคาของน้องพิงก์พุ่งไปไกลจนถึงหลักพัน ด้วยความที่เป็นไม้เลื้อยปลูกง่าย แตกกิ่งก้านสาขาไว ส่วนความตื่นเต้นของการปลูกนั้นอยู่ที่การลุ้นสีชมพูอ่อนๆ เวลาแตกยอด ว่าใบใหม่จะออกมามีชมพูในรูปแบบไหนนี่แหละ
การดูแลรักษา
ไม่ชอบแสงแดดจัด สามารถวางไว้ในที่แสงส่องผ่านรำไร แสงแดด น้ำ ดินร่วนและอากาศถ่ายเท เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับพืชตระกูลไม้เลื้อย แต่ระวังอย่าให้ความชื้นมากจนเกินไป อาจทำให้รากเน่าได้ วัสดุปลูกจึงควรระบายน้ำได้ดี สามารถเช็คได้โดยการจิ้มนิ้วลงไปในดิน ตลอดจนใส่ปุ๋ยอย่างสม่ำเสมอ


– Ficus Elastica

“ยางอินเดีย” พืชอีกหนึ่งชนิดที่ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงนี้ ต้นไม้ทรงสูงใบเรียวยาวแหลมรอบทิศทางสีเขียวเข้มไปจนถึงดำ มียอดปลายแหลมสีชมพู มีทั้งพันธุ์ด่าง ใบแคระ ใบแดงและใบดำ คนนิยมนำมาปลูกในบ้านเพราะไม่ชอบแสงแดดจัด รวมทั้งยังใช้ฟอกอากาศได้ด้วย ปลูกง่ายด้วยวิธีการเพาะเมล็ดและปักชำ แนะนำให้เลือกต้นที่เพาะเมล็ด เพราะรากจะมีความแข็งแรงมากกว่า
การดูแลรักษา
ยางอินเดียค่อนข้างชอบน้ำ สังเกตได้จากเวลาใบเริ่มตก แสดงว่าอาจโดนแดดมากเกินไปหรือรดน้ำไม่พอ ทางที่ดีควรตั้งไว้ในจุดที่มีอากาศถ่ายเท รดน้ำสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง หรือหากมีเวลาว่างแนะนำให้เอาไปตั้งรับแดดยามเช้าบ้าง


– Monstera

พืชที่เรามักเห็นตามหนังสือแต่งบ้านหรือจาก Pinterest ด้วยลักษณะใบแฉกขนาดใหญ่แตกออกมาเป็นกอมากมาย มีหลายสายพันธุ์มาก เช่น Monstera Giant มีใบขนาดใหญ่ รอยฉีกและรูวงกลมบนใบเยอะกว่า Monstera ปกติทั่วไป วัสดุที่นำมาใช้ปลูกส่วนมากจะเป็นกาบมะพร้าวสับ จึงมักเรียก Monstera ว่าเป็นพืชรากอากาศ เพราะอยู่ได้โดยไม่ต้องอาศัยดิน
การดูแลรักษา
เป็นพืชเลี้ยงง่ายเรียกได้ว่ามือใหม่ก็ยังรอด เลี้ยงได้ทั้งในดินและน้ำ ไม่ต้องการแสงแดดจัด ชอบความชื้นแต่ไม่แฉะ จึงไม่ควรรดน้ำจนขังอยู่ในกระถาง กาบมะพร้าวสับจะช่วยระบายน้ำและเก็บความชุ่มชื้นได้เป็นอย่างดี รดน้ำแค่อาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง แต่สามารถใช้ฟ็อกกี้ฉีดเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับใบในวันที่อากาศร้อนได้


– Red Butterfly Wing

ไม้ประดับสีม่วงแดงซึ่งมีรูปใบไม่เหมือนใครพร้อมดอกเล็กๆ สีขาวอมชมพูน่ารักๆ หรือที่หลายคนอาจจะเคยได้ยินกันมาบ้างในชื่อของ ‘ผีเสื้อราตรี’ หรือ ‘ปีกผีเสื้อ’ ด้วยใบที่มีลักษณะเหมือนผีเสื้อกำลังโบยบิน ทำให้ต้นไม้นี้ดูมีเสน่ห์ ดึงดูดใจคนรักต้นไม้ได้ไม่ยาก และนับว่ามีฟอร์มที่สวยเก๋น่าสะสมทีเดียว
การดูแลรักษา
เป็นไม้ล้มลุกที่เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนซุย ที่แสงแดดไม่จ้ามาก ดูแลได้ง่าย ปลูกทิ้งๆ ขว้างๆ ก็ยังงามได้ แต่หากต้องการให้ออกดอกเยอะๆ และบานพร้อมๆ กัน ก็ควรจะเด็ดยอดเมื่อต้นสูงประมาณ 6 นิ้ว หรืออาจเด็ดหลังจากปลูกไปแล้วประมาณ 4 สัปดาห์ จะทำให้ต้นแตกกิ่งก้านเป็นพุ่มที่ใหญ่ขึ้น ต้องการน้ำปานกลาง อย่ารดน้ำให้แฉะเกินไปเพราะจะทำให้เหง้าเน่าได้ ใส่ปุ๋ยเท่าที่จำเป็นโดยใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักจะช่วยทำให้ดินร่วนซุย


– Euphorbia Tirucalli

“พญาไร้ใบ” ต้นไม้สายฮิปที่โดดเด่นด้วยลักษณะลำต้นเล็กๆ อวบน้ำ เส้นสายแบบมินิมัลสะดุดตา มีกิ่งแผ่ออกไปรอบทิศทางคล้ายปะการัง แม้จะชื่อว่าพญาไร้ใบ แต่ก็มีใบและออกดอกให้เห็น เป็นต้นไม้ที่มีสรรพคุณเยอะมาก ใช้ได้ตั้งแต่ราก ลำต้น ใบ ไปจนถึงยางจากต้นไม้ แต่ระมัดระวังการสัมผัสยางโดยตรงเพราะอาจระคายเคืองได้
การดูแลรักษา
เป็นไม้กลางแจ้ง ทนแสงแดดได้ดี สามารถนำไปปลูกในบ้านที่มีแสงรำไรได้ นอกจากนี้ยังเป็นไม้อวบน้ำ จึงไม่จำเป็นต้องรดน้ำทุกวัน รดน้ำเพียง 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์


– Watermelon Peperomia

อีกหนึ่งต้นไม้ลายแปลกตาต้องยกให้กับ Watermalon Peperomia หรือ ‘ต้นกระสัง’ เหมาะอย่างมากกับการปลูกไว้ภายในบ้าน เพราะไม่มียางพิษและไม่เป็นอันตรายต่อสัตว์เลี้ยง พืชตระกูลนี้มีทั้งหมดกว่า 1,000 สายพันธุ์ แต่สายพันธุ์นี้เป็นที่นิยมปลูก ซึ่งโดดเด่นด้วยลวดลายของใบสีขาวเขียว(ลายแตงโม) และช่อที่มีทรงสวยงามนั่นเอง เมื่อเลี้ยงให้ใบใหญ่ก็จะยิ่งเห็นลายที่เป็นมันเงางามชัดเจน
การดูแลรักษา
แม้จะเจริญเติบโตได้ดีในเขตร้อน แต่ก็ไม่ชอบแดดจัดสักเท่าไหร่ ควรนำมาปลูกไว้ในที่แดดรำไรจะเหมาะกว่า รดน้ำเพียงเล็กน้อยวันละครั้งหรือเมื่อวัสดุในกระถางเริ่มแห้ง ไม่ควรรดบ่อยหรือจนแฉะมากไปจะทำให้ต้นเน่าได้ ดังนั้นวัสดุที่ปลูกจึงต้องระบายน้ำได้ดี และควรเลือกใช้กระถางให้เหมาะสมกับขนาดของต้น เพื่อให้เติบโตมีใบสวยงาม


– Fishbone Cactus

“เห็นหน้าตาแบบนี้แต่ฉันคือกระบองเพชรนะ” ต้นไม้ฟอร์มน่ารักหยึกหยักอย่าง Fishbone Cactus หรือ ‘ต้นกระบองเพชรก้างปลา’ ที่มองแล้วอารมณ์ดีด้วยรูปทรงเกลียวโค้งคล้ายกระดูกส่วนกลางของตัวปลา แล้วยังสามารถออกดอกสีชมพูอ่อนๆ เป็นหนึ่งในสมาชิกของตระกูลกระบองเพชรที่เบ่งบานในตอนกลางคืน
การดูแลรักษา
เป็นไม้อิงอาศัยเช่นเดียวกับกล้วยไม้ การปลูกและดูแลก็แบบเดียวกับกล้วยไม้ หรือจะเอาไปเกาะกับไม้ยืนต้นก็ได้ แม้จะเจริญเติบโตในแสงรำไร แต่สามารถทนต่อแสงแดดจ้า การรดน้ำที่ถูกต้องคือต้องรดให้ชุ่มถึงรากและรดครั้งต่อไปเมื่อดินเริ่มแห้ง ระวังอย่าให้น้ำขังหรือดินแฉะเพราะอาจเน่าหรือเป็นโรคตายได้


– Sea Grape

ด้วยฟอร์มที่แตกกิ่งมีใบกลมออกเรียงสลับกันทำให้เป็นทรงพุ่มดูมีระเบียบ ‘ต้นองุ่นทะเล’ สามารถตัดแต่งให้เป็นรูปทรงต่าง ๆ ได้ นอกจากนี้ยังมีดอกสีขาวกลิ่นหอม แถมมีผลเป็นพวงสวยที่สามารถรับประทานสดๆ ได้ นิยมนำมาทำแยม เยลลี่หรือหมักเป็นไวน์ และมาพร้อมคุณประโยชน์ที่หลากหลายต่อสุขภาพด้วย
การดูแลรักษา
ถือเป็นไม้ยืนต้นที่ทนต่อทุกสภาพอากาศ ปลูกได้ทั้งในบริเวณที่ร่มรื่นและในบริเวณที่มีอากาศร้อนจัดสามารถปลูกในดินได้หลายแบบ (ทนแล้งทนดินเค็ม) ชอบดินร่วนระบายน้ำได้ดี ไม่ชอบน้ำขังแฉะจึงต้องการน้ำน้อย

No Eave House Style


หลังคาลาดเอียงไม่ได้เป็นเรื่องใหม่สำหรับการออกแบบบ้านในไทย เนื่องด้วยสภาพอากาศที่ร้อนชื้นและฝนตกชุก บ้านในไทยจึงนิยมออกแบบให้มีองศาลาดชันมากเป็นพิเศษตั้งแต่ยุคเรือนไทยมาแล้ว เพื่อให้หลังคาบ้านทำหน้าที่ป้องกันความร้อนและระบายน้ำฝนได้ดี คนไทยจึงนิยมสร้างบ้านด้วยหลังคาทรงจั่ว ปั้นหยา มะนิลา แต่หากใครรู้สึกว่าบ้านแบบเดิมๆ ดูจำเจไม่ทันสมัย ไม่เข้ากับบริบทแวดล้อมในสังคมเมืองทุกวันนี้ เรามีทางเลือกที่น่าสนใจมาฝากกันค่ะ

“Modern Pitched Roof” ชูจุดเด่นตอบโจทย์การอยู่อาศัย
ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมวัสดุที่พัฒนามากขึ้น ได้เอื้อให้การสร้างบ้านรูปลักษณ์ใหม่ๆ อย่างบ้านหลังคาทรงสูงแต่มีหน้าตาทันสมัยหรือรูปแบบบ้านแบบ “Modern Pitched Roof” ที่เกิดจากการประยุกต์บ้านสไตล์โมเดิร์นแบบตะวันตกมาใช้ โดยปรับหลังคาให้มีลักษณะทรงสูงขึ้น องศาลาดเอียงขึ้นเพื่อให้เข้ากับสภาพอากาศในเมืองไทย ทั้งนี้สามารถดีไซน์ให้มีความสูงต่ำลดหลั่นกันไปตามรสนิยมของเจ้าของบ้าน พร้อมเผยลูกเล่นได้อย่างน่าสนใจ
1. พื้นที่ใต้โถงหลังคาช่วยให้อากาศภายในบ้านหมุนเวียน
หลังคาทรงสูงมักจะมีพื้นที่ว่างใต้โถงหลังคา โดยอากาศร้อนจะลอยตัวขึ้นไปอยู่บริเวณนี้ หากมีการติดตั้งช่องระบายอากาศหรือช่องลมร่วมด้วย ยิ่งจะช่วยให้มวลอากาศดังกล่าวระบายออกจากตัวบ้านได้ดีขึ้น และดึงให้อากาศใหม่เข้ามาแทนที่ ทำให้บ้านมีอุณหภูมิที่ลดลง อากาศหมุนเวียนและปลอดโปร่ง
2. องศาลาดเอียงช่วยลดการสัมผัสกับรังสีความร้อน
หลังคาลาดเอียงช่วยให้ผิวกระเบื้องลดการสัมผัสกับแสงแดด ส่งผลให้รังสีความร้อนกระทบลงมาบนผืนหลังคาได้ไม่เต็มร้อย ด้วยเหตุนี้จึงทำให้อุณหภูมิภายในบ้านเย็นสบายกว่าหลังคาแบบองศาต่ำ
3. เพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำฝน
องศาลาดชันมีข้อดีคือช่วยระบายน้ำฝนในเวลาฝนตกได้อย่างรวดเร็ว สามารถติดตั้งร่วมกับอุปกรณ์ป้องกันการรั่วเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันการรั่วซึม นอกจากนี้ อาจออกแบบหลังคาให้มีชายคายื่นยาวออกไปจะช่วยป้องกันฝนสาดได้ดียิ่งขึ้น

ต่อยอดสู่บ้านสไตล์ “No Eave” สถาปัตยกรรมสุดเฉียบ
และมากไปกว่านั้น เช่นเดียวกับรูปลักษณ์บ้านไร้ชายคา ซึ่งเรียกกันว่าบ้านสไตล์ “No Eve” ที่เน้นการโชว์หลังคาทรงจั่วสามเหลี่ยมที่ลาดลงมาเป็นส่วนเดียวกับผนังโดยไร้ชายคาคั่น ซึ่งก็ตามแต่ว่าจะออกแบบให้ลาดชันเท่าใด แน่นอนว่าความลาดชันย่อมมีผลต่อคุณสมบัติในการอยู่อาศัย หรือจะเรียกว่านำข้อดีของบ้านแบบ “Modern Pitched Roof” มาเสริมและปรุงแต่งให้เกิดรูปแบบใหม่ ที่สร้างแรงบันดาลใจและความแปลกตาให้กับงานหลังคาได้อย่างน่าทึ่ง จึงเป็นบ้านที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย เพราะดูเรียบง่ายโปร่งโล่งทว่าเฉียบเนี้ยบ รูปทรงบ้านเช่นที่ว่านี้ โดดเด่นและเตะตามากกว่าบ้านหลังคาจั่วทั่วไป ซึ่งมาจากแนวคิดการลดทอนองค์ประกอบที่เป็นส่วนเกินของบ้านออก ทำให้ตัวบ้านได้แสดงรูปลักษณ์เรขาคณิตอย่างตรงไปตรงมา หรือเรียกว่าได้ว่าเป็นความสวยงามน่าดึงดูดแบบ “มินิมอล” นั่นเอง เมื่อภาพลักษณ์ภายนอกเด่นชัด สเปซภายในก็ถูกออกแบบให้สอดคล้องไปกับภาพลักษณ์ภายนอก เช่น การนิยมทำฝ้าภายในให้ลาดเอียงไปในองศาเดียวกับหลังคา นอกจากทำให้สเปซสามารถสะท้อนตัวตนของบ้านแล้ว ยังทำให้พื้นที่ภายในโปร่งโล่งและอยู่สบายขึ้นจากฝ้าเพดานสูงอีกด้วย แถมปัจจุบันยังมีวัสดุที่ตอบโจทย์และรองรับสภาพอากาศให้คุณได้อยู่อาศัยแบบไร้กังวลกับปัญหาต่างๆ ที่จะตามมา

รูปแบบและแนวทางการเลือกใช้วัสดุ
บ้านแบบ “No Eave” นิยมออกแบบในหลากหลายแนวทาง ขึ้นอยู่กับรูปทรง สเปซ และวัสดุที่เลือกใช้ แนวทางหนึ่งคือออกแบบในสไตล์อบอุ่น โดยลดความชัดเจนของรูปทรงที่ทำให้รู้สึกแข็งกระด้าง และสร้างสเปซให้กว้างขวางรวมไปถึงการใช้วัสดุธรรมชาติ หรือวัสดุที่ให้อารมณ์อบอุ่นแบบตะวันออกก็จะช่วยทำให้บ้านดูผ่อนคลายได้เช่นเดียวกัน หรือในอีกสไตล์ คือการย้อนกลับไปที่ความเรียบง่ายเป็นสำคัญ โดยเน้นใช้วัสดุที่มีเนื้อสัมผัสเรียบเนียนกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับตัวบ้าน
ในขณะเดียวกันการแสดงออกถึงรูปลักษณ์ที่ชัดเจนทำให้บ้านแบบ “No Eave” มีภูมิทัศน์ที่โฉบเฉี่ยวสวยล้ำ อย่างบ้านที่มีรูปทรงแปลกตาหรือมีสเปซอันซับซ้อน การเลือกใช้วัสดุจึงควรสอดคล้องและส่งเสริมความล้ำสมัย อาทิ เช่น การเลือกใช้หลังคาคอนกรีตหรือหลังคากระเบื้องรุ่นใหม่ๆ ที่มีดีไซน์คมกริบในทุกองศา มีเส้นสายเรียบตรงและมีโทนสีต่างๆ ที่เข้ากับตัวบ้าน สามารถติดตั้งกับโครงหลังคาแบบลาดชันได้เป็นอย่างดี กับนวัตกรรมที่ช่วยสะท้อนและป้องกันความร้อนให้กับตัวบ้าน ซึ่งจะลดการทำงานของแอร์ได้ถึง 25% ทีเดียว
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงเรื่องน่ารู้ส่วนหนึ่งของบ้านแบบ “Modern Pitched Roof” และ “No Eave” ที่นับเป็นอีกหนึ่งเทรนด์ซึ่งกำลังมาแรงตอบโจทย์ของผู้อยู่อาศัยยุคใหม่ได้ในหลากหลายแง่มุม

Credit : dsignsomething.com / banidea.com / scgbuildingmaterials.com
Credit Images : casalibrary.com (River Retreat by Edwards White Architects)

#AreeyaHome
#ArtandDesign

“Como Bianca Bangna” Neighborhood

ศูนย์กลางไลฟ์สไตล์มอลล์ Mixed-Use ระดับพันล้าน

– Siam Premium Outlets
ต้อนรับ Destination ใหม่ล่าสุดของนักช้อปบนพื้นที่กว่า 50,000 ตารางเมตร ที่วาง position เป็น “พรีเมี่ยมเอาท์เล็ต” ตัวจริงแห่งแรกในไทย ซึ่งมีกำหนดเปิดตัวอย่างเป็นทางการเร็วๆ นี้ ความโดดเด่นของโครงการนี้นอกจากเป็นการจับมือกันของ 2 ผู้นำแห่งวงการค้าปลีกระดับโลกอย่าง “สยามพิวรรธน์” กับ “ไซม่อน พร็อพเพอร์ตี้ กรุ๊ป” รวมไปถึงพรีเมี่ยมเอาท์เล็ตระดับแนวหน้าของโลก ไม่ว่าจะเป็น WOODBURY COMMON PREMIUM OUTLETS นิวยอร์ก, GOTEMBA PREMIUM OUTLETS ญี่ปุ่น, YEOJU PREMIUM OUTLETS เกาหลีใต้ และ JOHOR PREMIUM OUTLETS มาเลเซีย โดยในช่วง Grand Opening ยังเปิดโอกาสให้คุณได้สัมผัสประสบการณ์พรีเมี่ยมเอาท์เล็ตอย่างแท้จริงเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ด้วยการเสนอสินค้าที่มีส่วนลดราคาสูงสุดกว่า 90% ให้ได้เลือกช้อปกันอย่างสุดเหวี่ยง
ทั้งนี้คุณสามารถแวะพักผ่อนระหว่างการช้อปปิ้งได้ที่ VIP Lounge ในพื้นที่รับรองสำหรับ VIP Member, Currency Exchange รวมทั้ง Indoor and outdoor Kids Playground ที่เด็กๆ สามารถได้เล่นสนุกระหว่างรอผู้ปกครองช้อปปิ้ง Siam Premium Outlets มีร้านอาหารและเครื่องดื่มชั้นนำทั้งไทยและเทศไว้ให้บริการ เช่น Starbucks, Shu Shi Plus และ Food Republic บนพื้นที่กว่า 1,200 ตารางเมตร นอกจากนี้ ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการอย่างครบครัน อย่าง Free Wi-Fi Spot ให้บริการอินเทอร์เน็ตครอบคลุมทั่วทุกพื้นที่ พร้อมเดินทางสะดวกสบายโดยไม่ต้องพึ่งรถส่วนตัวด้วย Shuttle Bus ฟรีจากหลายเส้นทาง อาทิ Airport Rail Link สถานนี้มักกะสัน
การเปิดตัวครั้งนี้จึงนับเป็นการพลิกโฉมและเพิ่มอุณหภูมิให้กับการแข่งขันในธุรกิจรีเทลให้ร้อนแรงขึ้นไปอีก

– Mega City Bangna โครงการต่อยอดจาก Mega Bangna
ศูนย์รวมแห่งประสบการณ์หลากรูปแบบ บนพื้นที่รวม 400 ไร่ นอกจากจะมีศูนย์การค้าที่ใหญ่ขึ้นแล้ว ยังรวมที่พักอาศัย โรงแรม ออฟฟิศ โรงเรียนนานาชาติและพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ สามารถรองรับผู้ใช้บริการได้มากกว่า 250,000 คนต่อวัน ตามรูปแบบการพัฒนาแบบยั่งยืนในระดับเมือง จะเรียกว่าเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์คของบางนาก็ว่าได้
เส้นทางการพัฒนาสู่การเป็น “เมกาซิตี้” ให้สมบูรณ์ครบทุกองค์ประกอบตามแผนที่กำหนดไว้ จะใช้เวลาภายใน 14 ปี (นับตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นไป) โดยเริ่มดำเนินการเฟสแรก ด้วยการสร้างส่วนต่อขยาย “Mega Food Walk” พร้อมด้วยซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ เพิ่มร้านอาหารใหม่เข้าไปอีก 29 ร้าน ทำให้ทั้งโครงการมีร้านอาหารโดยรวม 166 ร้าน และ “อาคารจอดรถ 7 ชั้น” ทำให้ปัจจุบันทั้งโครงการมีพื้นที่จอดรถรองรับได้ 10,000 คัน

– Central Village Luxury Outlet
อีกหนึ่งโครงการในย่านบางนาที่เพิ่งเปิดตัวไปด้วยกระแสตอบรับที่ฮือฮา ลักชัวรี่เอาท์เล็ตแห่งแรกในประเทศไทย บนพื้นที่ 40,000 ตร.ม. ภายในเป็นสถาปัตยกรรมไทยโมเดิร์น แบ่งโซนเป็นหมู่บ้านจำลอง มีร้านค้าร้านอาหารโดยฝีมือคนไทย และเต็มไปด้วยช้อปปิ้งสโตร์จากแบรนด์ระดับโลกตั้งอยู่ในอาคารทรงไทยประยุกต์ ด้วยการผสานจุดแข็งด้านความเชี่ยวชาญในฐานะผู้นำการพัฒนาโครงการรีเทลระดับภูมิภาค ผนวกกับความแข็งแกร่งของแบรนด์ดังระดับโลกรวมกว่า 130 ร้าน พร้อมการบริการหลากหลายครบวงจร และที่พิเศษกว่านั้นคือ มากกว่า 50% เป็นแบรนด์ที่เข้ามาเปิดเอาท์เล็ตในประเทศไทยเป็นครั้งแรก (First Time Outlet Shop) และมีอีกกว่า 60 แบรนด์ ได้เลือกเปิด Exclusive Outlet Store เฉพาะที่นี้เพียงที่เดียวเท่านั้น เอาใจสายช้อปให้ได้เลือกซื้อสินค้าอย่างจุใจ สบายกระเป๋าในราคาลด 35-70% ทุกวัน ลักษณะอาคารของ Central Village จะเป็นอาคารชั้นเดียวหลายๆ อาคารมาอยู่รวมกัน และทางเดินจะเป็นลักษณะโอเพ่นแอร์ ถึงจะกลางแจ้งแต่ไม่ต้องห่วงร้อน เพราะที่นี่มีต้นไม้ปกคลุมทั้งโครงการ แถมยังมีจุดเช็คอินหลากหลายโซนไว้เซลฟี่สวยๆ มาโชว์กับเพื่อนๆ อีกด้วย

– Mega Park จุดนัดพบสีเขียวที่ Mega Bangna
เหล่าลูกบ้าน “Como Bianca Bangna” ไม่ควรพลาดเพราะจะหลุดคอนเซปต์ “Minimal Eco Living” ได้นะคะ สวนสาธารณะสำหรับการพักผ่อนหย่อนใจขนาดย่อมบนพื้นที่กว่า 7 ไร่ เป็นพื้นที่สีเขียวและปอดของชาวบางนา โดยมีการออกแบบและจัดสรรพื้นที่ได้อย่างสนุกสนานน่าสนใจตอบโจทย์ทุกเจเนอเรชัน เพื่อสร้างสังคมและสุขภาพที่ดี ทั้งการออกกำลังกาย พักผ่อนและกิจกรรมสันทนาการครบวงจร สนุกสนานไปกับสนามเด็กเล่น พร้อมเครื่องเล่นสำหรับเด็กที่มีมาตรฐานปลอดภัย เส้นทางวิ่งออกกำลังกายและปั่นจักรยาน ด้วยบรรยากาศสุดร่มรื่นสำหรับคนรักสุขภาพ และยังเปิดให้เป็นพื้นที่พักผ่อนสำหรับคนรักสัตว์เลี้ยง สามารถนำสัตว์เลี้ยงเข้ามาร่วมกิจกรรมต่างๆ กับเจ้าของได้ บุคคลทั่วไปสามารถเข้ามาใช้บริการได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ มาแบ่งปันช่วงเวลาแห่งความสุขและเติมเต็มประสบการณ์ในทุกไลฟ์สไตล์สำหรับทุกคนในครอบครัวกันค่ะ

Credit : brandbuffet.in.th/marketingoops.com /
Credit Images : marketeeronline.co/siampremiumoutlets.com / thestandard.co/wealthythai.com / thinkofliving.com / citycracker.co/ khaosod.co.th/wisont.wordpress.com / readthecloud.co/

รวมพิกัดร้าน Refill รักษ์โลกทั่วไทย

เทรนด์ร้านแนว Refill Station นั้นเติบโตอย่างรวดเร็วไปพร้อมๆ กับวิถีชีวิตแบบ Zero Waste ที่ไม่ต้องการสร้างขยะใหม่ๆ และหมุนเวียนนำทรัพยากรกลับมาใช้อีกครั้งอย่างคุ้มค่า นอกจากการลดขยะพลาสติก Single Use ในชีวิตประจำวันแล้ว วิธีจัดการขยะชิ้นใหญ่อย่างเหล่าบรรจุภัณฑ์จากสิ่งของเครื่องใช้ในบ้านทั้งหลายก็ไม่ควรมองข้าม ซึ่งไอเดียการลดขยะประเภทนี้ทำให้เกิดร้านค้ากรีนๆ จนกลายเป็นคำติดปากที่หลายคนเรียกว่า Bulk Store หรือร้านค้าแบบเติม ที่ให้เราสามารถนำขวดบรรจุภัณฑ์เก่ามาเติมผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้ ถึงแม้ Bulk Store ยังคงเป็นเรื่องใหม่สำหรับคนส่วนใหญ่ แต่ก็เริ่มเเพร่หลายในเมืองไทยแล้ว โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ที่มีนับสิบร้าน ซึ่งจะมีร้านอะไรอยู่ที่ไหนบ้าง เราได้รวบรวมมาให้ลองเลือกใช้บริการกันค่ะ


Refill Station
ร้านรีฟิลต้นแบบร้านนี้คงไม่ต้องแนะนำอะไรมาก หลายๆ คนน่าจะรู้จักกันดี แต่สำหรับใครที่ยังไม่รู้ Refill Station คือ Bulk Store ร้านแรกที่ทดลองโปรเจกต์ร้านค้าแบบเติมกันมาตั้งแต่ตั้งขายสินค้าแบบรีฟิลกันตามตลาด จนมีหน้าร้านที่นอกจากจะแบ่งขายน้ำยาต่างๆ แล้วยังมีสินค้าทางเลือกอื่นๆ สำหรับการลดใช้พลาสติกจำหน่ายด้วย ซึ่งแนวคิดของ Refill Station นั้นได้สร้างแรงบันดาลใจและทำให้หลายๆ คนมองเห็นความเป็นไปได้ที่จะสร้างร้าน Bulk Store ในไทย จนเราเริ่มเห็นร้านค้าแนวคิดเดียวกันเพิ่มขึ้นมากมายในปัจจุบัน
นอกจากร้านหลักที่ Better Moon x Refill Station แล้ว ยังมีหลายร้านค้าพันธมิตรที่ร่วมมือกับ Refill Station นำผลิตภัณฑ์ สินค้าและการบริการในรูปแบบเดียวกันไปดำเนินการในร้านของตน ได้แก่ URBIE Social Space – TU Rangsit, OC Organic Shop, Inceemondee organic store & cafe และร้านสวนชั้น 1 ‘it’s going green’
พิกัด : ซอยสุขุมวิท 77/1 อ่อนนุช


Grasstonomy
ร้านกาแฟสีเขียวร้านนี้นอกจากจะเป็นคาเฟ่สุดน่ารักสไตล์ญี่ปุ่นที่เสิร์ฟเครื่องดื่มจากวัตถุดิบออร์แกนิกแล้ว ทางร้าน Grasstonomy ยังมีมุม Bulk Store เล็กๆ สำหรับให้ลูกค้ามาเติมผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนตัวอย่างแชมพู ครีมนวดผมและเจลอาบน้ำจากแบรนด์ออร์แกนิกอย่างใบว่าน พระนครทำเล่น และ Conscious Living มีหลากหลายแบรนด์ให้เลือกสรร หากลูกค้าไม่ได้นำขวดมาเองก็มีขวดพลาสติกพร้อมที่ปั๊มขายให้นำกลับมาเติมใหม่ได้
พิกัด : ศาลาแดงซอย 3 (ซอยตรงข้าม MK GOLD)


ZeroMoment Refillery
Bulk Store สุดยิ่งใหญ่ที่เพิ่งเปิดตัวไปหมาดๆ เมื่อปลายปีที่ผ่านมา ร้าน ZeroMoment Refillery ไม่ได้มีแค่ผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกาย ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด ทั้งออร์แกนิกและไม่ออร์แกนิก แต่ยังมีสินค้าในกลุ่มของกินตั้งแต่อาหารแห้ง ข้าวสาร เส้นสปาเกตตี เครื่องเทศ ชา กาแฟ ไปจนถึงขนมขบเคี้ยว ที่ทางร้านได้ติดต่อซื้อขายกับเกษตรกรอินทรีย์โดยตรง และมีภาชนะต่างๆ สำหรับใส่ผลิตภัณฑ์รีฟิลให้ผู้ที่สนใจซื้อแต่ไม่ได้พกกล่องหรือขวดมา หรือใครที่อยากหาบรรจุภัณฑ์ใช้ซ้ำชิ้นใหม่ก็มีวางจำหน่ายด้วยเช่นกัน
พิกัด : ตึก @home residence ซอย 16 ถนนเสรี 2 หลัง The Nine พระราม 9


Less Plastic Able
นอกจากร้านในใจกลางเมืองเเล้ว สายกรีนฝั่งธนเองก็มี Bulk Store ที่สามารถเข้ามารีฟิลผลิตภัณฑ์ได้ นั่นก็คือร้าน Less Plastic Able ซึ่งตั้งอยู่ในร้านเดียวกันกับ Delipizza Bangkok โดยก่อตั้งขึ้นมาเพื่อมุ่งมั่นหวังจะเป็น Hub หรือ Supplier สำหรับคนที่สนใจเรื่องการลดขยะให้ได้มีแหล่งซื้อของในหลายๆ พื้นที่ของประเทศไทย แม้จะเป็นมุมเล็กๆ ในร้านพิซซ่า แต่ก็อัดแน่นไปด้วยผลิตภัณฑ์ของใช้ในบ้าน ของใช้ส่วนตัว อาหารแห้งต่างๆ ให้เลือกเติมกันอย่างหลากหลาย เเละยังมีบรรจุภัณฑ์สำหรับใช้ซ้ำอย่างขวดน้ำ ถุงผ้าแบบต่างๆ จำหน่าย
พิกัด : ถนนประชาธิปก แขวงวัดกัลยาณ์ เขตธนบุรี


Foolfill Corner @ rivers & roads
ไม่เพียงแค่ในกรุงเทพฯ ที่เชียงใหม่ก็มีมุม zero waste แล้วเช่นกัน เริ่มต้นจาก rivers & roads ร้านขายของฝากน่ารักๆ ที่นอกจากจะมีสารพัดงานฝีมือจากศิลปินในพื้นที่แล้ว ยังมีมุมเล็กๆ ของร้านในชื่อ Foolfill Corner ซึ่งเป็นสเตชั่นเติมน้ำยาต่างๆ ในชีวิตประจำวัน ซึ่งที่ร้านก็พยายามคัดผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติมาให้เลือกพอประมาณในระยะเริ่มต้น แน่นอนว่านอกจากผลิตภัณฑ์รีฟิลแล้วที่นี่ก็มีของใช้อย่างแก้ว จาน ชุดช้อมส้อม งานคราฟต์หน้าตาเก๋ๆ ที่สามารถนำมาใช้ซ้ำให้เลือกซื้อติดมือกลับบ้านกันไป
พิกัด : ถนนท่าแพ เชียงใหม่


Peace of Mind By ChiangmaiCotton
เป็นอีกหนึ่งร้านค้าที่อยากถ่ายทอดแนวคิดอันเรียบง่ายแต่ยั่งยืน ผ่านสินค้าต่างๆ ทั้งเสื้อผ้าฝ้ายทอมือย้อมสีธรรมชาติ ผลิตภัณฑ์ของใช้แฮนด์เมดจากวัตถุดิบธรรมชาติจากงานฝีมือคัดสรรสุดเนี๊ยบจากชาวบ้าน รวมไปถึงมุมผลิตภัณฑ์ของใช้ออร์แกนิกตั้งแต่แชมพู สบู่ น้ำยาล้างจาน ยาสีฟัน มาจำหน่ายแบบเติมใน Refill Corner เล็กๆ ของร้าน ให้ชาวเชียงใหม่สามารถเข้าถึงวิถีชีวิตแบบ Zero Waste กันให้มากยิ่งขึ้น
พิกัด : นิมมานเหมินทร์ซอย 4 เชียงใหม่


Zero Waste Shop Phuket
ขึ้นเหนือกันแล้วมาลงใต้กันบ้าง ที่ภูเก็ตก็มีร้าน Bulk Store เกิดขึ้นแล้วเช่นกัน ร้านค้าเเบบเติมที่มีทั้งผลิตภัณฑ์ในครัวเรือนอย่างน้ำยาทำความสะอาดบ้านชนิดต่างๆ ของใช้ส่วนตัวจำพวกแชมพู สบู่ บอดี้โลชั่น และยังมีสินค้าทางเลือกสำหรับนำมาใช้ซ้ำที่ทางร้านทำเองวางจำหน่ายอีกด้วย
พิกัด : 185/75 ถนนดอนจอมเฒ่า ตำบลเทพกระษัตรี อำเภอถลาง ภูเก็ต

Check-list จุดสำคัญรับหน้าฝน

Check-list

จุดสำคัญรับหน้าฝน “ดูแลบ้านให้ปลอดภัย รับมือไหวแม้ฝนกระหน่ำ” มาดูกันว่าจุดไหนเป็นจุดเสี่ยง เพื่อเตรียมรับมือกับทุกปัญหาที่จะมาพร้อมกับสายฝนกันค่ะ โดยเริ่มกันที่โครงสร้างหลักของบ้าน รวมไปถึงส่วนประกอบต่างๆ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญทำให้น้ำรั่วซึมเข้าบ้านได้ ตลอดจนการต่อเติมและป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น

  1. เริ่มตั้งแต่หลังคา ฝ้า ผนัง
    3 จุดสำคัญที่มักเป็นปัญหาอยู่ทุกๆ ปี “หลังคารั่ว” นับเป็นปัญหาคลาสสิกในช่วงหน้าฝนเลยก็ว่าได้ ซึ่งผู้อยู่อาศัยส่วนใหญ่จะพบกับปัญหาหลังจากฝนตกลงมาแล้ว ดังนั้นเราต้องหมั่นสำรวจว่ามีจุดไหนบนหลังคาบ้างที่มีรอยแตกร้าว มีคราบตะไคร่น้ำ หรือสังเกตจากคราบน้ำบนฝ้าเพดานหรือผนังก็ได้ ถ้าเห็นรอยน้ำเป็นด่างเป็นดวง ประเมินได้ว่าเกิดจากความชื้น ควรรีบตรวจสอบและซ่อมแซมแก้ไขทันที ปัจจุบันมีนวัตกรรมอย่างระบบครอบหลังคาอบแห้ง และระบบครอบผนังสำเร็จรูป ซึ่งเป็นตัวช่วยชั้นดีไม่ให้น้ำรั่วซึมเข้ามาได้
  2. เรื่องพื้นๆ สำคัญเสมอ
    ช่วงที่ฝนตกติดต่อกัน บริเวณพื้นที่น้ำฝนกระเซ็นใส่อย่างต่อเนื่องมักเกิดคราบตะไคร่น้ำและเปียกชุ่ม เสี่ยงต่อการลื่นล้มได้ง่าย เราจึงต้องให้ความสำคัญตั้งแต่การเลือกวัสดุสร้างบ้าน ถ้าเป็นชานบ้าน เฉลียง และทางเดินนอกอาคาร ควรเลือกวัสดุปูพื้นหรือกระเบื้องเนื้อหยาบ ไม่ลื่นง่ายเมื่อเปียกน้ำ สำหรับพื้นในอาคารบ้านเรือน ต้องเช็ดทำความสะอาดให้แห้งอยู่เสมอ ส่วนพื้นนอกอาคารหากมีตะไคร่น้ำจับต้องใช้แปรงขัด เพื่อความสะอาดของบ้านและความปลอดภัยของผู้อยู่อาศัย
  3. รางน้ำสิ่งที่ควรมี
    เตรียมรางน้ำฝนให้พร้อมใช้งาน หนึ่งในอุปกรณ์สำคัญสำหรับการจัดการน้ำฝน และป้องกันไม่ให้น้ำไหลลงรอบๆ ตัวบ้านจนกระเซ็นมาถูกผนังและพื้นเสียหาย ช่วยระบายน้ำฝนให้ไหลไปในทิศทางที่เหมาะสม และกักเก็บน้ำฝนไว้ใช้ประโยชน์อื่นๆ ในช่วงเวลานี้ ควรตรวจสอบประสิทธิภาพการระบายน้ำของรางน้ำฝน ทำความสะอาดกำจัดเศษใบไม้ เศษขยะต่างๆ ออกให้หมด หากเราละเลยตรงจุดนี้ เมื่อฝนกระหน่ำ น้ำฝนที่คั่งค้างอยู่ในรางน้ำจะระบายไม่ได้ อาจเอ่อล้นรั่วซึมและไหลย้อนเข้ามาสู่ตัวบ้านได้ง่ายๆ
  4. ระบบท่อทุกส่วนของบ้าน
    ท่อระบายน้ำนั้นมีหลายแบบ ทั้งท่อระบายน้ำภายในบ้าน ท่อระบายน้ำออกข้างบ้านและบริเวณหน้าบ้าน ควรทำความสะอาดเพราะท่อระบายน้ำมักมีเศษใบไม้ หรือโคลนสะสมจนทำให้ท่อระบายน้ำเกิดการอุดตัน ตักเศษดินเศษโคลนออกจากท่อเพื่อเป็นทางระบายน้ำได้สะดวก และที่สำคัญอีกส่วนของบ้านคือ ระเบียงหรือเฉลียงที่ต้องล้างและทำความสะอาดเช่นกัน
  5. ชายคากันสาด
    การต่อเติมชายคาหรือกันสาดนั้นเราสามารถทำได้กับประตูบ้าน หน้าต่าง ผนังหรือส่วนใดก็ตามที่ฝนสามารถสาดเข้าไปถึง ซึ่งอาจทำให้อุปกรณ์ภายในบ้านเราเปียกชื้น การต่อเติมกันสาดถือว่าเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยป้องกันความเสียหายที่จะตามมาทั้งนี้การติดตั้งกันสาด สิ่งที่ต้องคำนึงเป็นอันดับแรกคือ น้ำหนักของกันสาดซึ่งโครงสร้างบ้านสามารถรองรับได้ กันสาดมีลักษณะการใช้งานอยู่ด้วยกัน 2 แบบ แบบแรกคือใช้งานถาวร มีอายุการใช้งานยาวนานคงทน เสียค่าซ่อมแซมน้อย แต่ส่วนใหญ่มีน้ำหนักมากและค่าก่อสร้างสูง ได้แก่ แบบเหล็กอลูมิเนียม คอนกรีตเสริมเหล็ก กระเบื้องกระดาษ ไวนิล โพลีคาร์บอเนต และไฟเบอร์กลาส ฯลฯ ส่วนแบบใช้งานชั่วคราว อายุการใช้งานไม่นาน ต้องซ่อมแซมบ่อยครั้ง แต่ส่วนใหญ่มีน้ำหนักเบา ให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติกว่า โดยสามารถติดตั้งรื้อถอนได้รวดเร็วรวมถึงราคาถูกกว่า เช่น แบบมู่ลี่ม้วนไม้ไผ่ ผ้าใบในลักษณะมู่ลี่หรือใช้โครงเหล็ก
  6. ย้ายเฟอร์นิเจอร์
    ถึงเวลาเฟอร์นิเจอร์เอ้าท์ดอร์ทั้งหลายต้องมูฟ แม้ว่าเฟอร์นิเจอร์เหล่านี้จะทนทานต่อแสงแดดสายฝน แต่เมื่อโดนฝนเป็นเวลานานๆ เข้า จะทำให้เฟอร์นิเจอร์เสื่อมสภาพเร็วกว่ากำหนด ดังนั้นเพื่อป้องกันการชำรุดเสียหาย เราควรย้ายเฟอร์นิเจอร์เหล่านี้เพื่อหลบฝน หรือหาผ้าใบมาคลุมเมื่อฝนตกก็ได้ แค่นี้เราก็สามารถยืดอายุการใช้งานของใช้ต่างๆ ภายนอกบ้านได้แล้ว
  7. ตัดแต่งกิ่งไม้ใหญ่
    ควรสังเกตกิ่งไม้ใหญ่หรือต้นไม้ที่อยู่ติดกับหลังคาบ้านหรือตัวบ้าน เพราะกิ่งไม้ใหญ่ๆ อาจจะเป็นปัญหาให้กับบ้านของเราได้ เมื่อเกิดพายุ ลมแรง กิ่งไม้เหล่านี้อาจจะหักหรือโค่นล้มลงมาทับหรือฟาดกับตัวบ้านจนเกิดความเสียหาย ฉะนั้นเราควรที่จะจัดการกับกิ่งไม้ใหญ่ โดยการตัดทอนตกแต่งไม่ให้เป็นปัญหา

A PASSION FOR AESTHETICS

A PASSION FOR AESTHETICS

“สุนทรียศาสตร์แห่งการอยู่อาศัยและใช้ชีวิต คือ สิ่งที่มนุษย์ถวิลหามาครอบครอง” ทุกคนรู้ ลูกบ้านรู้ และอารียา รู้ดีที่สุด Aesthetic Design & Premium Quality จึงเป็นแก่นหลักของงานออกแบบที่ไร้ขีดจำกัดของ Areeya Property ที่คู่ขนานกันไปอย่างแนบแน่นกับแนวความคิดที่เน้นความยั่งยืน และวิสัยทัศน์แห่งโลกอนาคต โดยหยิบยื่นประสบการณ์สุนทรียะ (Aesthetic Experience) อันเป็นประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจากการรับรู้ความงามทั้งจากธรรมชาติและผลงานศิลปะทุกแขนง ซึ่งทําให้รู้สึกเพลิดเพลินหรือประทับใจ มีองค์ประกอบอยู่ 3 ประการคือ ความงาม (Beauty) ความแปลกตา (Picturesqueness) และความน่าทึ่ง (Sublimity)
วันนี้เราขอนำเสนอผลงานที่มีชั้นเชิงทางสถาปัตยกรรมเจ๋งๆ ที่โดดเด่นทั้งรูปลักษณ์และเต็มเปี่ยมด้วยสุนทรียะในบริบทที่แตกต่างกันไป และไม่ว่าเทรนด์การออกแบบของโลกจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใด ความรื่นรมย์ยังคงถูกสอดแทรกไว้เสมออย่างกลมกลืมในทุกยุคทุกสมัย

– Hotel Barceló Torre de Madrid ความขี้เล่นซุกซนในโทนสีพาสเทล

โรงแรมที่รุ่มรวยไปด้วยศิลปะและวัฒนธรรมโดย Jaime Hayon นักออกแบบชาวสเปน ซึ่งเป็นที่รู้จักดีถึงอารมณ์ขันอันเป็นเอกลักษณ์ในงานออกแบบโดยมาพร้อมกับความชำนาญทางศิลปะชั้นสูง ด้วยสไตล์อันโดดเด่นของเขา จึงไม่เป็นที่แปลกใจเลยว่าผลงานที่ออกมาจะน่าตื่นตาตื่นใจ โรงแรมแห่งนี้สร้างขึ้นในปี 1957 และตอนนี้ได้กลายมาเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ เป็นหน้าเป็นตาของเมืองที่มีกลิ่นอายแห่งศิลปะไปเรียบร้อยแล้ว งานของ Jaime เป็นเสมือนผืนผ้าใบที่มีชีวิต ทุกซอกทุกมุมรวมทั้งผนังจรดเพดานเต็มไปความคิดสร้างสรรค์ พื้นที่ทั้งหมดทั้งโอ่โถงกว้างใหญ่และสง่างาม ในขณะเดียวกันก็อ่อนน้อม มีอารมณ์ขันและความเฉียบแหลม ฉากหลังต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นผนังทาสีพาสเทลสุดคิ้วท์ พื้นหินอ่อนสีขาว และแสงธรรมชาติที่ลอดผ่านเข้ามาทางช่องหน้าและผนังกรุกระจกขนาดใหญ่ ช่วยขับเน้นสีสันของเฟอร์นิเจอร์และของประดับตกแต่งให้โดดเด่นออกมาได้เป็นอย่างดี
การนำสัญลักษณ์ต่างๆ มาสะท้อนประวัติศาสตร์อันน่าประทับใจของเมืองนี้ในมุมมองที่ทันสมัย รวมไปถึงองค์ประกอบอื่นๆ เช่น รายละเอียดทางสถาปัตยกรรมทำให้นึกถึงซุ้มโค้งแบบโรมันและอิทธิพลของสไตล์มัวร์ ศิลปะจากทองเหลืองตามหน้าต่างและภาพบนฝาผนังที่ Jaime สั่งทำขึ้นเป็นพิเศษจากศิลปินสื่อผสม ล้วนแต่สะท้อนมรดกทางวัฒนธรรมอันหลากหลายของสเปน อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้ถูกแสดงออกมาได้อย่างสมดุลและลงตัว “ผมทุ่มเทเต็มที่ในการสร้างสรรค์พื้นที่พิเศษแห่งนี้ขึ้นมา เพื่อให้มันเป็นตัวแทนของภาพลักษณ์แบบใหม่ของประเทศสเปน ที่แตกต่างออกไปจากความสวยงามแบบดั้งเดิม” Jaime กล่าว

– QISHE COURTYARD จากบ้าน “พัง” มากสู่บ้าน “ปัง”มาก

นี่คือตัวอย่างความร่วมสมัยอันน่าทึ่ง บ้านจีนซึ่งตั้งอยู่ในหมู่บ้านวัฒนธรรมดั้งเดิมของกรุงปักกิ่ง กลับมามีชีวิตชีวาเเละเอื้อต่อการใช้สอยของคนยุคใหม่อีกครั้ง โดยการออกแบบและรีโนเวตของทีมสถาปนิก ARCHSTUDIO
ตัวอาคารของบ้านประกอบด้วยอาคาร 7 หลัง และคอร์ตยาร์ด 3 คอร์ตที่แทรกอยู่ภายในมีสภาพทรุดโทรมมาก โครงสร้างเเละองค์ประกอบต่างๆ มีความเสียหายเกือบทั้งหมด เหลือเพียงคานไม้เเละซุ้มประตูเเบบจีนที่ยังคงใช้งานได้ สถาปนิกจึงพยายามเก็บรักษาเอกลักษณ์ที่เหลืออยู่ไว้ แล้วเพิ่มฟังก์ชันที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตเข้าไป โดยใช้ “ระเบียงแบบฟรีฟอร์ม” และองค์ประกอบหลักของสถาปัตยกรรมจีนดั้งเดิมเป็นตัวเชื่อมอาคารทั้ง 7 หลัง ระเบียงที่เกิดขึ้นนั้น ไม่ใช่ระเบียงตรงๆ อย่างที่เราคุ้นเคย เเต่กลับเป็นระเบียงทรงโค้งที่บิดไปมา เเละมีรูปทรงแตกต่างกันออกไป เพื่อนำเสนอมุมมองและการใช้งานของแต่ละพื้นที่ซึ่งไม่เหมือนกัน เกิดเป็นการผสมผสานระหว่างตัวบ้านกับภูมิทัศน์ล้อมที่มีลูกเล่นน่าสนใจ นอกจากความโค้งจะถูกใช้กับรูปทรงของระเบียงแล้ว ยังนำมาใช้กับผนังกั้นภายในแบบกระจกใสในส่วนของต่างๆ ของตัวบ้านอีกด้วย
ขณะที่คอร์ตยาร์ดกลางกลุ่มอาคารกลายเป็นพื้นที่ทำกิจกรรมขนาดใหญ่ เมื่อเลื่อนประตูออกพื้นที่ภายในก็จะถูกหลอมรวมไปกับคอร์ตยาร์ดด้านนอก ส่วนในแง่ของวัสดุ เพื่อให้เชื่อมโยงกับของเก่ามากที่สุด สถาปนิกได้เลือกเก็บโครงไม้สนเดิมที่ยังใช้งานได้ไว้ แล้วใช้ลามิเนตไม้ไผ่ที่ให้ความรู้สึกเหมือนไม้แต่มีความคงทนสูง มาออกแบบเป็นส่วนของประตู หน้าต่าง ระเบียง และเฟอร์นิเจอร์ ภายใต้บรรยากาศที่ดูกลมกลืนไปกับความเก่าเเก่ได้อย่างลงตัว

– CRIMSON ROOM บาร์ลับที่จะปลุกความเป็นแกสบี้ในตัวคุณ

แจ๊สบาร์ม่านแดงซึ่งตั้งอยู่ภายในโครงการ Velaa Sindhorn Village ย่านสวนลุม หากใครไม่เคยมาที่นี่ อาจต้องเดินวนหากันอยู่หลายรอบสักหน่อย เพราะหน้าร้านมีเพียงป้ายตั้งพื้นขนาดเล็กสีแดงตัดกับผนังไม้เดินลายด้วยสแตนเลสสีทองตลอดผืน พร้อมประตูทางเข้าหนึ่งบาน พาคุณย้อนเวลากลับไปสู่ยุค Jazz Age หรือช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1
ภายในคุมโทนด้วยสีแดงทั้งห้องตัดกับสีทองอร่าม จัดจ้านด้วยการเลือกใช้ผ้ากำมะหยี่มาเป็นวัสดุบุเฟอร์นิเจอร์ เพิ่มความโก้หรูรับกับราวสแตนเลสเงาวิบวับ ท็อปโต๊ะหินอ่อน และแชนเดอร์เลียร์ห้อยระย้ากลางเวที เพดานด้านบนสูงโออ่า บรรยากาศสุดอลังการราวกับฉากในหนังฮอลลีวู้ดอย่างไรอย่างนั้น บ่งบอกถึงค่านิยมและสังคมสุดเหวี่ยงในยุค 1920s ที่เต็มไปด้วยความหรูหราฟูฟ่าของแฟชั่น และการออกงานสังคม ผ่านบรรยากาศแบบเธียร์เตอร์หรือโรงละคร ซึ่งมีพื้นที่เเบบลดหลั่นกันลงไป ไล่ตั้งแต่ส่วนของบาร์ด้านบนสุดไปยังโซนที่นั่งแบบครึ่งวงกลมที่มีความเป็นส่วนตัว ทั้งยังได้อารมณ์เหมือนนั่งดูหนังในโรงละครแบบไม่บดบังมุมมองไปยังเวทีเบื้องล่าง ส่วนเมนูของเครื่องดื่มนั้นถูกไล่ลำดับไปตามแชปเตอร์ของมหรสพ เพื่อสร้างอารมณ์และประสบการณ์ในการดื่ม เริ่มจากช่วงโหมโรงกับค็อกเทลดื่มง่าย เน้นความสดชื่นสำหรับบิ้วด์อารมณ์ เตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่ช่วงการแสดงจริงกับค็อกเทลรสชาติที่แรงขึ้น กระตุ้นให้คุณเพลิดเพลินไปกับเสียงดนตรีแจ๊ส ก่อนจะปิดท้ายการแสดงด้วยค็อกเทลรสหอมหวานเจือกลิ่นผลไม้ ส่งความสดชื่นผ่อนคลายก่อนกลับบ้าน

– The Samsen Street Hotel ที่พักสุดชิคราคาหลักร้อย

โรงแรมระดับสามดาวที่ปรับปรุงจากอาคารเดิมซึ่งเคยเป็นโรงแรมม่านรูดมาก่อน ความสามารถในการนำเอาอัตลักษณ์แบบ “Very Thai” มาถ่ายทอดอย่างสนุกสนานและมีชีวิตชีวา กับการประยุกต์ใช้พื้นที่อันจำกัดให้เป็น Co-Space Living ได้อย่างชาญฉลาด ทั้งในแง่ของความโดดเด่นสวยงามทางสถาปัตยกรรมและฟังก์ชั่นที่แยบยลในทุกตารางนิ้ว CHAT Architects ได้ตกตะกอนความคิดในการบอกเล่านิยามของกรุงเทพฯ อย่างเป็นรูปธรรม ผ่านงานออกแบบ The Samsen Street Hotel

“นั่งร้าน” คือ โจทย์หลักที่สถาปนิกเลือกนำมาใช้เป็นพระเอกของงาน เพราะนั่งร้านคืออุปกรณ์ชิ้นสำคัญในงานก่อสร้างที่เราเห็นกันจนชินตาในเมืองไทย โดยสถาปัตยกรรมได้ทำหน้าที่แสดงคาแรคเตอร์ของโรงแรม เป็นลูกเล่นทั้งด้านภาพลักษณ์และการใช้งาน รวมถึงบ่งบอกเอกลักษณ์ความเป็นเมืองแบบสตรีทๆ ของกรุงเทพฯ โดยนั่งร้านที่เห็นได้รับการออกแบบให้เรียงต่อกันแบบแนวตั้ง เพื่อใช้เป็นทั้งฟาซาดและระเบียงที่นั่งห้อยขาได้ โดยมีทั้งที่หันหน้าเข้าสู่ส่วนกลางของโรงแรมซึ่งเป็นโรงหนังกลางแปลงและหันออกสู่เพื่อนบ้านโดยรอบ นอกจากนี้นั่งร้านยังทำหน้าที่เป็นระเบียงชายคาให้กับทางเดินด้านล่างและพื้นที่อเนกประสงค์ สำหรับใช้เป็นทั้งร้านกาแฟ ร้านอาหารสตรีทฟู้ด และพื้นที่นั่งเล่นของเเขกผู้มาใช้บริการ
อีกหนึ่งดีเทลสำคัญที่อดกล่าวถึงไม่ได้ นั่นคือการเลือกใช้ “สีเขียว” เป็นสีหลักในการออกแบบ เนื่องจากสีเขียวพาสเทลมักแฝงอยู่ในรายละเอียดของบ้านไทยยุคเก่าเสมอ นั่นเท่ากับเป็นการหลอมรวมงานสถาปัตยกรรมให้เข้ากับบริบทของเมือง สร้างความเป็นกันเองพร้อมกับตัวอาคารที่เป็นจุดสนใจได้อย่างมีมิติ รวมไปถึงการใช้กราฟิก ฟอนท์ภาษาไทยและโปสเตอร์หนังไทยสมัยก่อนที่ผสานไปกับการออกแบบภายใน

Architecture Post COVID-19

Architecture Post COVID-19

สถาปัตยกรรมบ้านและเมืองหลังโควิด-19 จะเปลี่ยนไปอย่างไร? เป็นอีกหนึ่ง “New Normal” ที่ทุกคนกำลังให้ความสนใจ เพราะในอนาคตอันใกล้บ้านจะกลายเป็นปัจจัยสี่ที่มีความสำคัญมากๆ คนที่ไม่เคยมีบ้านจะอยากมีบ้านมากขึ้น และให้ความสำคัญกับรายละเอียดของการออกแบบบ้าน ทั้งในแง่ฟังก์ชั่น ประโยชน์ใข้สอยที่ตอบรับกับ lifestyle ที่ปลอดภัยจากเชื้อโรค ปลอดภัยจากภัยธรรมชาติ และผู้คนจะโหยหาธรรมชาติมากขึ้น อยากมีสวนในบ้าน มีพื้นที่ผ่อนคลายที่เป็นส่วนตัว และมุมถ่ายรูปสวยๆ ไว้อวดเพื่อนทางโซเชียล เหนือสิ่งอื่นใด คือ บ้านที่อยู่สุขสบายอย่างแท้จริง เพราะสถานการณ์นี้ทำให้คนต้องอยู่บ้านมากกว่าเดิม และเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อการอยู่อาศัยไปอย่างสิ้นเชิง

– ผลกระทบในเชิงฟังก์ชั่น ความสะดวกสบายในทุกมิติ
ในแง่ของฟังก์ชั่นและรูปแบบอาคาร เริ่มจากทางเข้าบ้านจะต้องมีพื้นที่สำหรับล้างรถ เพื่อล้างสิ่งสกปรกและเชื้อโรคที่อาจติดมาจากการเดินทาง ก่อนเข้าสู่ตัวบ้านอาจจะมีพื้นที่ล้างมือล้างเท้าคล้ายบ้านไทยในอดีตที่มีบ่อล้างเท้าหรือตุ่มน้ำที่หน้าบันได พอเดินเข้าบ้านมี Changing Room สำหรับเปลี่ยนเสื้อผ้าหรือซักผ้าเสียก่อน รูปแบบบ้านจึงต้องเป็นบ้านที่มีความยืดหยุ่นสูง มีพื้นที่เอนกประสงค์กว้างขวาง ปรับเปลี่ยนพื้นที่เป็นห้องเรียนออนไลน์ได้ Work From Home ได้ พื้นที่ในการทำอาหารรวมที่ใช้งานได้สะดวก ตลอดจนพื้นที่สวนขนาดกะทัดรัดไว้เป็นมุมพักผ่อน ที่สามารถรองรับการการใช้ชีวิตในบ้านในระยะเวลานานๆ มีความสุนทรียะในทุกๆ กิจกรรมด้วยบรรยากาศที่มีชีวิตชีวา เนื่องจากเวลาที่เราอยู่กับที่นานๆ จะเกิดภาวะตึงเครียด โดยเฉพาะบ้านที่อยู่อาศัยกันหลายคน สุดท้ายแล้วบ้านควรจะกลมกลืนไปกับธรรมชาติ บ้านที่อยู่สบายจะสร้างความสุขและเติมพลังชีวิตได้ ธรรมชาติจะช่วยให้เราผ่อนคลายและหายใจได้เต็มปอด ส่งผลดีต่อสุขภาพทั้งกายและใจ

– Smart Home คำตอบสำหรับบ้านในอนาคต
ภายใต้แนวคิด Sustainable Design โดยเริ่มตั้งแต่กระบวนการออกแบบ การก่อสร้างและการบริหารการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่าภายในตัวบ้าน คือทำอย่างไรที่จะใช้องค์ประกอบจากธรรมชาติให้เกิดประโยชน์สูงสุด ในขณะเดียวกันก็ต้องดูแลธรรมชาติให้อยู่กับเราไปได้นานๆ สามารถตรวจสอบการทำงานต่างๆ ได้ทั้งระบบ โดยเฉพาะเรื่องความสะอาดและอากาศบริสุทธิ์ ปัจจุบันได้มีการนำเทคโนโลยีหลายๆ อย่างมาใช้งาน มีผู้ช่วยทำความสะอาดอย่างหุ่นยนต์ดูดฝุ่น หุ่นยนต์ถูพื้น การใช้อุปกรณ์เหล่านี้ทำให้เห็นความสำคัญของการออกแบบ Floor Plan เพื่อให้หุ่นยนต์ต่างๆ ทำงานได้อย่างต่อเนื่อง
ในขณะที่ดีไซน์ไร้การสัมผัสเป็นอีกหนึ่งเทรนด์ที่มาแรง ระบบอัตโนมัติในบ้านจะถูกนำมาใช้มากขึ้น เพื่อลดการสัมผัสและการแพร่เชื้อโรค อาทิ ประตูและระบบเปิดปิดไฟฟ้าผ่านสมาร์ทโฟน

– เกษตรวิถีและบ้านยุคดั้งเดิมในรูปโฉมใหม่
เทรนด์การสร้างบ้านเกษตรวิถีชีวิตพอเพียงจะได้รับความนิยมสูงขึ้น เพราะเมื่อถึงวิกฤตจริงๆ เราจะเห็นได้ชัดว่า การปลีกชีวิตอยู่อย่างสมถะและสันโดษจะตอบโจทย์ทุกช่วงเวลาได้ดีกว่า สำหรับการอยู่อาศัยภายในเมืองบนพื้นที่เล็กๆ ก็สามารถใช้วิถีชีวิตแบบพึ่งพาตนเองได้เช่นกัน เพียงแค่แบ่งสัดส่วนของพื้นที่สำหรับปลูกผักไว้รับประทานเอง ไม่ว่าจะเป็นบนดาดฟ้า ระเบียง และพื้นที่เล็กๆ รอบตัวบ้าน แม้ปัจจุบันจะมีธุรกิจ Food Delivery และเทคโนโลยีออนไลน์ช่วยให้การใช้ชีวิตช่วงวิกฤตเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า การทำอาหารทานเองย่อมปลอดภัยและอุ่นใจกว่า บ้านจึงควรมีห้องครัวที่เหมาะกับการเตรียมอาหาร มีพื้นที่เก็บอาหารแห้งรวมทั้งครัวไทยแบบเปิดโปร่ง

– Universal Design โซลูชั่นสำหรับพื้นที่คนเมือง
ชวนมาดูแนวคิดสำคัญๆ อย่าง Universal Design ที่ว่าด้วยการออกแบบเพื่อคนทุกกลุ่ม โดยการปรับกระบวนทัศน์ใหม่ให้กับงานออกแบบสถาปัตยกรรม ทั้งบ้าน แหล่งชุมชนโดยรอบ และพื้นที่สาธารณะในเมือง ที่จะช่วยให้วงการสถาปัตยกรรมปรับตัวให้เท่าทันกับโจทย์ใหม่ๆ ในศตวรรษที่ 21 นี้ เป็นการออกแบบที่จะช่วยแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ โดยคำนึงถึงความต้องการอันแตกต่างหลากหลาย ไม่ว่าจะมีความสามารถในการดำรงชีวิตแตกต่างกันอย่างไร ไม่ว่าจะมีสถานะต่างกันอย่างไร หรือไม่ว่าจะมีอายุและความแตกต่างทางร่างกายอย่างไร งานออกแบบอาคารสถานที่และอุปกรณ์ต่างๆ จะช่วยให้ผู้ใช้งานได้รับความเท่าเทียมกัน

ซึ่งสามารถนำมาประยุกต์กับการออกแบบให้มีความยืดหยุ่น โดยเฉพาะพื้นที่สาธารณะที่ต้องรองรับคนจำนวนเยอะๆ อาทิ อาคารขนาดใหญ่อย่างท่าอากาศยาน โรงแรม โรงพยาบาล ห้างสรรพสินค้า สถานบันเทิง สถานที่ออกกำลังกาย หรือสถานประกอบการขนาดต่างๆ การออกแบบสิ่งอำนวยความสะดวกในอาคาร อาทิ Touchless Technology หรือการออกแบบให้มีปุ่มลิฟต์ระดับต่ำที่สามารถกดควบคุมได้ด้วยเท้า การใช้ระบบเสียงเพื่อควบคุมลิฟต์ การสมาร์ทโฟนเพื่อควบคุมระบบไฟฟ้าภายในห้อง ไปจนถึง Self-cleaning Restroom ห้องน้ำที่มีระบบทำความสะอาดตัวเอง การเลือกใช้วัสดุปิดผิวที่เรียบเป็นมันวาว เช่น โลหะ อย่างทองแดง (Copper) ลดการเกาะติดของเชื้อโรค คือเน้นไปที่การส่งเสริมสุขภาวะที่ดี อาคารที่ใช้ระบบปิด ระบบระบายอากาศต้องมีประสิทธิภาพในการระบายเชื้อโรคออกจากอาคารได้อย่างรวดเร็ว หรือการใช้แสง UV ภายในอาคารเพื่อฆ่าเชื้อโรค

อันที่จริง Universal Design เอื้อให้การออกแบบทางสถาปัตยกรรมเว้นระยะห่างทางกายภาพและเชิงสังคมอยู่แล้ว เมื่อเข้าสู่มาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม แต่คนยังต้องการส่งอาหาร การออกกำลังกาย และการพบปะสันทนาการกัน หน้าที่ของการออกแบบทางสถาปัตยกรรมจึงต้องทำให้การใช้พื้นที่ส่วนกลางของชุมชนและย่านที่อยู่อาศัย สามารถรองรับการออกมาใช้พื้นที่สาธารณะได้เป็นอย่างดี

7 แพลตฟอร์มสู่ความยั่งยืน สินค้าเกษตรส่งตรงสู่ผู้บริโภค

7 แพลตฟอร์มสู่ความยั่งยืน สินค้าเกษตรส่งตรงสู่ผู้บริโภค
ช่วงที่ผ่านมาเราเห็นหลายๆ คนโชว์ฝีมือเชฟกันเต็มโซเชียลมีเดีย จึงคิดว่าน่าจะมีคนที่อยากได้พืชผักผลไม้สดๆ ส่งตรงถึงบ้าน ‘สินค้าเกษตรออนไลน์’ คือ สินค้าเกษตรที่มุ่งมั่นส่งตรงสู่ผู้บริโภคโดยเหล่าสตาร์ทอัพไทยไอเดียเจ๋ง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้คนได้อย่างหลากหลาย เราจึงนำมาบอกต่อ เพราะนอกจากจะได้ช้อปผลผลิตแบบ ‘รู้แหล่งปลูก’ แล้ว ยังช่วยระบาย ‘สินค้าเกษตร’ ในช่วงที่เชื้อไวรัสโควิด–19 ระบาด เป็นการสร้างโอกาสในวิกฤตให้เกษตรกรไทยในอีกรูปแบบหนึ่ง

– ฟาร์มโตะ (FARMTO) ช่องทางการขายผลผลิตเกษตรรูปแบบใหม่ที่เชื่อมเกษตรกรและผู้บริโภคเข้าหากันผ่านวิธีการร่วมเป็นเจ้าของผลผลิตการเกษตร เพื่อให้ทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคได้ช่วยเหลือและดูแลคุณภาพผลผลิตไปด้วยกัน
หากผู้บริโภคต้องการตรวจสอบผลผลิตก็สามารถเดินทางมาเยี่ยมชมและติดตามขั้นตอนต่างๆ ได้ เช่น ข้าวหอมมะลิ ข้าวไรซ์เบอรี่ และเมื่อถึงฤดูกาลเก็บเกี่ยว เกษตรกรจะจัดส่งผลผลิตให้ผู้บริโภคตามที่อยู่ที่ลงทะเบียนไว้ รวมทั้งยังเปิดโอกาสให้เกษตรกรได้ตั้งราคาขายผลผลิตด้วยตัวเองเพื่อแก้ปัญหาภาระหนี้สินและราคาผลผลิตตกต่ำ ทำให้เกษตรกรได้พัฒนาและเรียนรู้ที่จะสร้างแบรนด์สินค้าของตัวเองในอนาคต นอกจากนี้ เกษตรกรยังสามารถนำแนวคิดดังกล่าวมาต่อยอดใช้เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางการเกษตรได้อีกด้วย

– ครอปเปอร์แซด (Cropperz) แพลตฟอร์มที่จะทำให้เกษตรกรไทยสามารถเข้าถึง ‘ข้อมูลความต้องการของตลาด’ และช่วยยกระดับภาคธุรกิจให้สามารถพัฒนาผลผลิตทางการเกษตรที่มีคุณภาพ ควบคุมราคาและปริมาณได้ตรงตามความต้องการของตลาด และทำให้สามารถทราบว่าจะมีพืชเกษตรชนิดใดออกช่วงไหน โดยข้อมูลนี้จะช่วยสนับสนุนการสร้างตลาดกับกลุ่มลูกค้าโดยเฉพาะโรงงานแปรรูปที่ต้องการวัตถุดิบเข้าสู่สายการผลิต ซึ่งจะทำให้ทั้งเกษตรกรและผู้ประกอบการมีผลผลิตออกมาอย่างต่อเนื่อง

– เอิร์ทออร์แกนิก (Earth Organic) มุ่งเน้นที่กลุ่มสินค้าเกษตรปลอดภัย เกษตรอินทรีย์ มีการควบคุมคุณภาพแบรนด์สินค้าร่วมกับเกษตรกร เน้นอัตลักษณ์จากท้องถิ่น ส่งตรงถึงผู้บริโภคด้วยการขนส่งที่มีคุณภาพ

– ฟาร์มบุ๊ค (Farmbook) ตลาดเกษตรออนไลน์ที่มีระบบนิเวศสังคมเกษตรให้แก่เกษตรกรผู้ผลิต ผู้ให้บริการ ผู้จัดจำหน่าย ผู้ซื้อและผู้บริโภค มารวมตัวกันเพื่อสร้างการเชื่อมโยงหลากหลายด้าน (Multisided Markets) โดยสามารถเชื่อมกลุ่มคนจากทั่วทุกมุมโลกที่เข้าถึงอินเทอร์เน็ตไว้ด้วยกันได้ รวมทั้งยังมีข้อมูลตลาดที่ชัดเจน ทุกขั้นตอนในการซื้อ-ขายจึงทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ

– เฟรชเก็ต (Freshket) บางคนอาจจะคุ้นชื่อหรือเคยสั่งซื้อไปแล้ว เป็นแพลตฟอร์มที่รวบรวมและจำหน่ายอาหารสดในรูปแบบของ ‘ตลาดสดออนไลน์สำหรับร้านอาหารและผู้บริโภค’ โดยสามารถเชื่อมต่อกับร้านอาหารและผู้บริโภคได้ตลอด 24 ชั่วโมง

– เนเจอร์ฟู้ด (Naturefood) แอปพลิเคชันสำหรับการซื้อขายข้าวอินทรีย์และสินค้าเกษตรปลอดภัย ซึ่งมีบริการส่งถึงบ้านและบริการส่งออกทั่วโลกแบบ One Stop Service ทั้งยังมีการใช้สิทธิประโยชน์จาก FTA เพื่อร่วมสนับสนุนการแก้ไขปัญหาราคาสินค้าตกต่ำ ช่วยยกระดับรายได้และคุณภาพชีวิตของเกษตรกร รวมถึงช่วยให้ผู้บริโภคปลายทางมีสุขภาพที่ดีด้วย

– มีแซ่ด (MeZ) ศูนย์กลางเชื่อมโยงและแบ่งปันผลไม้คุณภาพจากเกษตรกร ที่พร้อมส่งผลไม้จากสวน ผ่านการคัดสรรและใส่ใจในทุกขั้นตอนการเพาะปลูก

Creative Workspace Ideas

Creative Workspace Ideas
จากปรากฏการณ์ New Normal ในช่วงโควิด-19 ตลอดจนวิถีชีวิตหลังจากนี้ที่จะไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกต่อไป แน่นอนว่าย่อมส่งผลกระทบต่อรูปแบบการทำงานอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ และคาดว่าเทรนด์การทำงานแบบ work from home จะกลายเป็นเรื่องปกติในที่สุด เมื่อบริษัทต่างๆ เริ่มให้อิสระในการทำงานกับพนักงานมากขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องเดินทางมาออฟฟิศทุกวัน ถึงแม้ว่าตอนนี้หลายคนจะออกไปทำงานที่ออฟฟิศกันแล้วก็ตาม
การจัดพื้นพี่ทำงานภายในบ้านให้มีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมและเพิ่มบรรยากาศเพื่อสร้างความ productivity ให้แก่มนุษย์ออฟฟิศทั้งหลายที่ไม่คุ้นชินกับการ work from home เป็นองค์ประกอบหนึ่งที่ท้าทายไม่น้อยทีเดียว งานออกแบบจึงกลายมาเป็นโซลูชั่นที่สำคัญภายใต้โจทย์ “มุมๆ ไหนของบ้านก็ทำงานได้” ทั้งยังเป็นการแบ่งพื้นที่ให้ใช้งานอย่างคุ้มค่า ด้วยไอเดียง่ายๆ ที่สามารถเนรมิตพื้นที่แห่งความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างลงตัว เรามีเคล็ดลับจัดพื้นที่ทำงานและมีสไตล์มาฝากกันค่ะ

Minimalism
หากชอบความเรียบง่ายสไตล์มินิมัลซึ่งเป็นที่นิยมของคนยุคใหม่ การเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ให้เน้นวัสดุธรรมชาติ ที่มีองค์ประกอบน้อยชิ้นทว่าเต็มเปี่ยมด้วยฟังก์ชั่น ที่สะท้อนให้เห็นถึงความเรียบเนี้ยบ สไตล์มินิมัลจะช่วยลดความรู้สึกวุ่นวายใจและอารมณ์ที่พลุ่งพล่านลงได้ มีสติในกระบวนการทางความคิดทุกขั้นตอน โดยอาจเลือกใช้โทนสี Monochrome อย่างสีขาวดำ ทำให้มุมทำงานมีความเป็นมืออาชีพ ทั้งความสมาร์ทและความเท่ที่กลมกลืน หรือถ้าคุณไม่ชอบสีขาวดำ สีเอิร์ธโทนที่ให้ความรู้สึกผ่อนคลายสบายตา หรือสีพาสเทลสุดเทรนดี้ซึ่งช่วยเพิ่มชีวิตชีวาได้เป็นอย่างดี โทนสีเหล่านี้จะทำให้คุณให้มีสมาธิในการทำงานยิ่งขึ้น อาจเพิ่มความสนุกสนานด้วยลูกเล่นต่างๆ ที่จะเติมเต็มการทำงานของคุณได้อย่างน่าสนใจ

Double Function
มุมเดียวใช้ได้ถึง 2 ฟังก์ชั่น ถ้าการทำงานของคุณไม่ได้ใช้อุปกรณ์ใดๆ มากนัก การนำโต๊ะกลางสำหรับรับประทานอาหารปรับเปลี่ยนมาใช้สำหรับแบ่งพื้นที่เป็นโต๊ะทำงานบ้างก็เป็นไอเดียที่ดี การจัดสรรสเปซอย่างพื้นที่ห้องรับแขก โดยใช้พื้นที่หลังโซฟาหรือใช้เป็นโซนกั้น รวมไปถึงพื้นที่ข้างเตียงขนาดกะทัดรัด ตลอดจนพื้นที่ริมระเบียงซึ่งให้บรรยากาศที่ผ่อนคลายมากกว่าเดิมและใกล้ชิดกับธรรมชาติ เพราะสิ่งสำคัญของ Workspace คือแสงสว่างที่เพียงพอและความปลอดโปร่ง ดังนั้นพื้นที่ที่ติดกับหน้าต่างหรือกระจกบานใหญ่จึงเป็นทำเลที่ดีในการจัดโต๊ะทำงาน ทั้งนี้คอนโดและทาวน์โฮมในปัจจุบัน มักออกแบบให้มี Bay Window หรือช่องหน้าต่างที่ทำมุมกับผนังทำให้เห็นวิวทิวทัศน์ได้กว้างขึ้น และมีพื้นที่ค่อนข้างมาก สามารถจัดโต๊ะทำงานบริเวณนี้ได้ จะได้นั่งทำงานแบบสัมผัสแสงธรรมชาติและพักสายตาจากความเหนื่อยล้า
ไอเดียเหล่านี้เป็นการประหยัดพื้นที่ และยังสามารถใช้งานร่วมกันได้หลายๆ คน เป็นเสมือนพื้นที่แบบ Co-working ขนาดย่อม ที่มีความยืดหยุ่นปรับเปลี่ยนการใช้งานได้ตามความต้องการ

PegBoard Decorating
สำหรับใครที่มีอุปกรณ์บนโต๊ะทำงานเยอะ ลองใช้ PegBoard มาช่วยในการจัดระเบียบข้าวของต่างๆ ทั้งยังสามารถปรับเป็น wall art ส่วนตัวขนาดมินิในสไตล์ของคุณ ช่วยกระตุ้นไอเดียใหม่ๆ ในการทำงาน โดยเฉพาะคนทำงานสายครีเอทีพ PegBoard ถือเป็นตัวช่วยที่ดีทีเดียว นอกจากนี้ อาจหาชั้นโปร่งๆ ช่วยในการจัดเก็บหรือฉากกั้นผนังแบบมีรูสำหรับแขวนหรือติดได้ เพื่อสร้างเลเยอร์ให้ห้องดูมีมิติ
คุณสามารถใส่ความเป็นตัวเองลงไปได้เต็มที่เมื่อเป็นมุมทำงานในบ้าน ลองเพิ่มความเฉียบด้วยการเลือก storage ที่มีโครงสร้างและฟังชันก์เจ๋งๆ ไม่ว่าจะเป็นแบบโชว์หรือปิดมิดชิดจะช่วยเพิ่มชั้นเชิงให้กับพื้นที่ได้ดีและเพิ่มสเปซในการทำงานได้มากขึ้นอีกด้วย

Small Space Big Idea
สำหรับบ้านที่มีพื้นที่จำกัด การเลือกใช้โต๊ะและเก้าอี้ทำงานแบบโปร่งจะช่วยให้พื้นที่นั้นดูโล่งกว้าง โดยคุณสามารถเพิ่มความดิบเท่ด้วยโต๊ะและเก้าอี้สไตล์อินดัสเทรียลลอฟต์ ที่แฝงความอบอุ่นของไม้เอาไว้ อีกหนึ่งไอเดียเก๋ๆ สำหรับการจัด workspace ในบ้านที่มีพื้นที่น้อยนั่นก็คือ โต๊ะทำงานติดผนังที่มีรูปลักษณ์เหมือนชั้นวางของ โดยออกแบบให้ท็อปโต๊ะเว้นระยะห่างระหว่างชั้นวางของอย่างเหมาะเจาะ ส่วนชั้นบนก็ใช้เป็นพื้นที่เก็บหนังสือหรืออุปกรณ์สำนักงานอื่นๆ ส่วนการใช้โต๊ะแบบ Multi-function ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดี อย่างชั้นวางของที่สามารถเปิดบานพับออกมาเป็นโต๊ะได้หรือโต๊ะติดผนังที่สามารถพับเก็บได้

Under the stairs
น่าจะเป็นพื้นที่ทำงานในฝันของหลายๆ คน หากพื้นที่ใต้บันไดบ้านคุณมีความโปร่งโล่ง ใช้พื้นที่ตรงนั้นให้เป็นประโยชน์แม้จะถูกปิดกั้นขอบเขต แต่ด้วยขนาดที่กะทัดรัดก็ให้ความเป็นส่วนตัวสูง ตอบโจทย์การใช้งานได้ดี แต่อาจจะต้องติดโคมไฟเพื่อเพิ่มแสงสว่างให้เพียงพอกับการใช้งาน สร้างชั้นวางของใกล้ๆ ด้วยขายึดผนัง ช่วยจัดระเบียบให้เป็นโต๊ะที่น่าใช้งานขึ้น
ส่วนใครที่ชื่นชอบ Workspace แบบเป็นสัดส่วนก็อาจใช้เทคนิคการแบ่งพื้นที่ด้วยบานเลื่อนแบบใสหรือกระจกแทนการกั้นประตูทึบ เพื่อให้ Workspace ยังคงเชื่อมโยงกับพื้นที่อื่นภายในบ้าน และไม่ทำให้เกิดบรรยากาศเคร่งขรึมจนเกินไป หรือหากบ้านของคุณมีมุมเล็กๆ ที่ขนาบข้างด้วยผนังก็สามารถเนรมิตเป็นพื้นที่ทำงานได้ด้วยการติดโต๊ะทำงานแบบ Build – in ในแบบที่คุณชอบ เพียงเท่านี้คุณก็มีพื้นที่ทำงานที่เป็นสัดส่วนแล้ว

Save Energy, Save Money & Save Earth

เข้าสู่ฤดูร้อนอย่างเต็มตัวแล้ว หากบ้านของคุณไม่ได้ผ่านการออกแบบบ้านให้สอดรับกับธรรมชาติภายใต้สภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าวเกือบตลอดทั้งปี เมื่อไม่มีการวางแผนงานก่อสร้างให้ดี บ้านที่คาดหวังไว้ว่าจะเป็นสถานที่ให้เป็นร่มเงา อาจกลายเป็นเตาอบดีๆ ได้เช่นกัน วันนี้เราจะพาไปรู้จักกับวัสดุกันความร้อนที่หาซื้อได้ง่าย มีจำหน่ายตามศูนย์จำหน่ายวัสดุก่อสร้างทั่วไป พร้อมอัปเดตนวัตกรรมล้ำๆ ที่ใช้ในการก่อสร้างที่อยู่อาศัยให้กลายเป็นบ้านแห่งอนาคตอย่างแท้จริง รับประกันได้ว่าอุณหภูมิภายในบ้านของคุณจะเย็นสบาย และประหยัดการใช้พลังงานกว่าบ้านทั่วไปอย่างแน่นอน
มาดูกันว่า 5 ไอเท็มเด็ดๆ ที่เป็นวัสดุกันความร้อนประหยัดไฟเบอร์ 5 มีอะไรกันบ้าง


หลังคาสะท้อนความร้อน
วัสดุหลังคาหรือกระเบื้องหลังคาที่มีการเคลือบสีสะท้อนความร้อนมาให้ จะสามารถป้องกันแสงแดดได้ดีกว่ากระเบื้องหลังคาที่ไม่ได้ผ่านการเคลือบสี แต่หากวัสดุหลังคาที่ติดตั้งไม่มีคุณสมบัติดังกล่าวก็ไม่ต้องกังวลไป เพราะเดี๋ยวนี้มีแผ่นสะท้อนความร้อนติดตั้งใต้หลังคาเป็นเสมือนเกราะป้องกัน ยกตัวอย่างเช่น หลังคาคอนกรีต SCG รุ่น Neustile X-Shield Heat BLOCK ด้วยนวัตกรรมใหม่ล่าสุดบนผืนกระเบื้องสุดเนี้ยบในเฉดสีเข้ม ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งกับบ้านสไตล์โมเดิร์นในปัจจุบัน โดยช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการสะท้อนรังสีความร้อนได้ดีกว่าสูตรเดิมถึง 3.5 เท่า ทำให้ประหยัดค่าไฟจากเครื่องปรับอากาศสูงสุด 15% ตลอดจนการเคลือบสีสูตรใหม่ เพิ่มพลังการยึดเกาะของชั้นสีและชั้นเคลือบของกระเบื้องหลังคาทำให้สีสวยทนทานยาวนานกว่าถึง 3 เท่า


โถงหลังคาสูงโปร่งมีฉนวนกันร้อน
โถงหลังคาเปรียบเสมือนพื้นที่กักเก็บความร้อนก่อนกระจายเข้าสู่ภายในบ้าน ยิ่งโถงหลังคามีขนาดใหญ่มากเท่าไหร่พื้นที่กักเก็บความร้อนจะยิ่งมากขึ้น แต่หากมีพื้นที่กักเก็บน้อยความร้อนจะไหลผ่านเข้าภายในบ้านได้อย่างรวดเร็ว โดยปกติบ้านทั่วไปจะนิยมทำฝ้าเพดานเพื่อความสวยงาม นอกจากความสวยงามแล้ว ฝ้าเพดานยังเป็นส่วนป้องกันความร้อนจากโถงหลังคาได้อีกชั้นด้วย และหากต้องการเพิ่มประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้น ควรมีติดตั้งฉนวนกันร้อน “Stay Cool” ฉนวนใยแก้วที่ถูกออกแบบมาสำหรับติดตั้งเหนือฝ้าเพดานโดยเฉพาะ มีคุณสมบัติป้องกันความร้อนที่จะผ่านเข้ามา เนื้อฉนวนรอบด้านหุ้มด้วยแผ่นอะลูมิเนียมฟอยล์จึงทนทานและทำหน้าที่ช่วยสะท้อนความร้อนออกไป ยิ่งฉนวนมีความหนามากก็ยิ่งกันความร้อนได้ดี ช่วยเพิ่มศักยภาพในการกันร้อนได้อีกหลายเท่าตัว


ฝ้าชายคาระบายอากาศได้
ฝ้าชายคาที่ดีควรเป็นฝ้าที่สามารถระบายอากาศได้ เพื่อให้มวลอากาศร้อนภายในโถงหลังคาได้ถ่ายเทอยู่เสมอ และยังเป็นช่องลมให้อากาศใหม่ได้เข้ามาแทนที่อากาศร้อนเดิม จุดที่ต้องระมัดระวังในการนำฝ้าชายคาที่มีรูระบายอากาศมาใช้ รูดังกล่าวไม่เพียงแค่เป็นช่องลมเท่านั้น แต่อาจจะเป็นช่องทางเข้าของสัตว์และแมลงต่าง ๆ ได้ จึงแนะนำให้หาตะแกรงมาติดทับไว้อีกชั้น หรือเลือกใช้ฝ้าระบายอากาศที่มีตะแกรงป้องกันติดตั้งมาให้พร้อมใช้งาน เพิ่มความสะดวกให้กับงานติดตั้ง ทั้งนี้ฝ้าชายคาสมาร์ทบอร์ดก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจ นอกจากจะมีหลายรุ่นหลายแบบที่ให้ความสวยงานด้วยแท็กเจอร์ที่แตกต่างกัน และสามารถเลือกได้ตรงตามสไตล์ของบ้านเเล้ว ยังมีคุณสมบัติเด่นในด้านทนความชื้น แข็งแรงทนทาน ปลวกไม่กิน เป็นวัสดุที่ผสมผสานความเเข็งแกร่งเเละยืดหยุ่นในเนื้อเดียวกัน


สีทาผนังสะท้อนความร้อน
สีทาผนังบ้านที่เหมาะกับบ้านเย็นควรเลือกสีโทนอ่อน เพราะสีโทนอ่อน เช่น สีขาว สีครีมหรือสีใดๆ ที่มีความอ่อนใกล้เคียงสีขาว จะมีคุณสมบัติสะท้อนความร้อนได้ดีกว่าสีโทนเข้ม ส่วนสีโทนเข้ม เช่น สีเทา ดำ หรือสีใดๆ จะมีคุณสมบัติดูดซับความร้อน แต่หากต้องการทาสีบ้านด้วยสีโทนเข้ม แนะนำให้เลือกซื้อผลิตภัณฑ์สีทาบ้านที่มีคุณสมบัติสะท้อนความร้อน สีชนิดดังกล่าวจะมีส่วนผสมของเซรามิก มีความเกลี้ยงเรียบเนียนของผิวสีที่ดีกว่าสีทั่วไป จึงสามารถสะท้อนความร้อนได้ ตัวอย่างผลิตภัณฑ์สีที่ได้รับฉลากเบอร์ 5 อาทิ สีเบเยอร์คูลซุปเปอร์ชิลด์ และที่เก๋สุดๆ คือการปรับโทนสีลดความร้อน ผ่าน TOA SuperShield เพียงแค่คลิ๊กเข้าไปที่เว็บไซต์ คุณก็สามารถเลือกได้ว่าสีใดเหมาะกับบ้าน แถมยังช่วยคำนวณอัตราการประหยัดไฟจากเครื่องปรับอากาศ นอกจากนี้ยังสามารถบอกรุ่นและชนิดของสีเพื่อให้เจ้าของบ้านสามารถไปซื้อสีได้อย่างถูกต้อง โดยจะมีตัวเลขค่า R แสดงอยู่ในทุกสี โดยตัวเลขค่า R ยิ่งมากเท่าไหร่ ยิ่งแสดงว่ากันความร้อนได้มากขึ้นเท่านั้น
โดยได้นำค่าการคำนวนดังกล่าวมาจาก Energy Plus ซึ่งเป็น Program ที่พัฒนาและสนับสนุนโดยกระทรวงพลังงาน สหรัฐอเมริกา ซึ่งโปรแกรมดังกล่าวจะคำนวณบนพื้นฐานอาคารที่ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ มีจำนวน 4 ห้องนอน 2 ชั้น และมีพื้นที่ใช้สอยทั้งหมด 220 ตารางเมตร โดยมีผู้พักอาศัยอยู่จำนวนทั้งสิ้น 4 คนและใช้เครื่องปรับอากาศที่มีการปรับอุณหภูมิไว้ที่ 25 องศาเซลเซียส


ผนังบ้านเย็นด้วยอิฐมวลเบา
ข้อดีของอิฐมวลเบา คือ ด้วยขนาดก้อนที่ใหญ่สามารถก่อผนังได้อย่างรวดเร็ว จึงไม่ต้องใช้แรงคนงานมากช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่ายได้เป็นอย่างดี ปัจจุบันอิฐมวลเบาที่ได้รับความนิยมสูงสุดในไทย เป็นอิฐมวลเบา Q-CON มีขนาด 20 ซ.ม. x 60 ซ.ม. และมีความหนาให้เลือกตั้งแต่ 7.5 ซม. – 25 ซม. ยิ่งมีตัวเลขความหนามาก คุณสมบัติกันความร้อนจะยิ่งมากขึ้น โดยค่าเฉลี่ยของอิฐมวลเบา Q-CON สามารถกันความร้อนได้ดีกว่าอิฐมอญ 4-8 เท่า จึงช่วยลดการถ่ายเทความร้อนจากภายนอกสู่ภายในอาคาร ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายจากขนาดเครื่องปรับอากาศที่เล็กลงและลดค่าไฟฟ้าได้ถึง 30%

วัสดุต่างๆ เหล่านี้ไม่ได้แนะนำกันโดยไม่มีหลักฐานอ้างอิง แต่ทุกวัสดุล้วนผ่านมาตรฐานการรับรองจากกระทรวงพลังงาน ได้รับฉลาก Energy Saving เบอร์ 5 ความหมายของฉลากดังกล่าว จึงคล้ายๆ กับเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน วัสดุก่อสร้างก็เช่นเดียวกัน เมื่อสามารถช่วยให้อุณหภูมิภายในบ้านเย็นขึ้นได้ ผู้พักอาศัยสบายกายสบายใจ และไม่ต้องกังวลกับค่าไฟสิ้นเดือนอีกต่อไป