Therapeutic Garden การจัดสวนเพื่อบำบัดจิตใจและคลายเครียด

Therapeutic Garden การจัดสวนเพื่อบำบัดจิตใจและคลายเครียด

เมื่อพูดถึงเรื่องธรรมชาติ เรามักจินตนาการถึงภูเขา ต้นไม้ สายน้ำ รวมถึงกลิ่นและเสียงของธรรมชาติ ที่ๆ ทำให้ทุกครั้งของการมองและสัมผัส รู้สึกถึงความผ่อนคลาย การปลดระวางจากความวุ่นวาย และทำให้จิตใจสงบมากยิ่งขึ้น เพราะธรรมชาติอยู่คู่กับมนุษย์มาหลายล้านปี เป็นต้นกำเนิดของน้ำ และอากาศที่เป็นออกซิเจนบริสุทธิ์ให้แก่ปอดของมนุษย์มาอย่างยาวนาน เรียกได้ว่าธรรมชาติเป็นตัวบำบัดให้ทั้งร่างกายและจิตใจในคราวเดียวกัน แต่ในสังคมเมืองปัจจุบันที่มีการก่อสร้างตึก อาคาร ถนน รวมไปถึงสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ จนถูกขนานนามว่าเป็นเมืองคอนกรีต ทำให้ธรรมชาติในตัวเมืองลดน้อยลง แต่ถ้าเราสามารถนำธรรมชาติกลับคืนมาไว้รอบๆ บ้านของเราได้ ก็คงจะดีไม่น้อย

“Therapeutic Garden คือ สวนเพื่อการบำบัดรักษา ที่จะช่วยเยียวยาทั้งร่างกายและหัวใจ”

เมื่อเราเข้าใจดีเกี่ยวกับการนำธรรมชาติมาช่วยฟื้นฟูและบำบัดจิตใจได้ จึงเป็นที่มาของแนวคิดเกี่ยวกับ Therapeutic Garden ที่ถูกนำมาประยุกต์ใช้กับสิ่งปลูกสร้าง การออกแบบบ้านเรือน อาคาร การออกแบบสวนที่คำนึงถึงความซับซ้อนในหลากหลายมิติ เพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตในปัจจุบันที่คนเรากำลังเผชิญกับโรคภัย และภาวการณ์ระบาดของโรค ทำให้เกิดประเด็นของสุขภาพ ซึ่งเรากำลังประสบปัญหาทั้งร่างกายและจิตใจ ดังนั้นการจัดการกับพื้นที่สวนจึงกลายเป็นประเด็นสำคัญที่มีส่วนช่วยในการรับมือ และบำบัดสุขภาพให้ดีขึ้น ในแง่ของการออกแบบตกแต่ง เราจึงหยิบยกเรื่องของ Therapeutic Garden หรือสวนที่จะช่วยบำบัดร่างกาย และจิตใจในภาวะโรคระบาดนี้ได้เป็นอย่างดี ดังนั้นในแง่ของการออกแบบจึงมองสวนในฐานะเป็นพื้นที่บำบัด สร้างความผ่อนคลาย และปัดเป่าความเครียดให้ลดน้อยลง
ด้วยตัวคอนเซปต์ของ Therapeutic Garden มีแนวทางในการช่วยจัดพื้นที่สวนเพื่อช่วยบำบัดได้หลายรูปแบบดังนี้

สร้างการมองเห็นอย่างสบายตา
ต้นไม้ชนิดต่างๆ ส่วนใหญ่จะเป็นสีเขียวที่ทำให้ดูสบายตากันอยู่แล้ว แต่ถ้าเลือกพันธุ์ไม้ที่มีดอกไม้หลากสีสัน จะช่วยสร้างสีสันที่หลากหลาย สายตาของคนเราจะรับรู้ถึงการตัดกันของสี เกิดความแตกต่างให้กับการมองเห็น ซึ่งช่วยกระตุ้นประสาทการรับรู้ และทำให้รู้สึกสดชื่นและตื่นตัว

สร้างการได้ยินที่ช่วยผ่อนคลาย
การสร้างประสาทสัมผัสการได้ยินให้เข้าใกล้ธรรมชาติเป็นอีกข้อที่ช่วยสร้างความผ่อนคลาย ไม่ว่าจะเป็นเสียงแมลงบิน เสียงกิ่งไม้เสียดสีกัน เสียงใบไม้พัดไหวไปตามสายลม หรือใครจะติดตั้งน้ำพุ หรือน้ำตกเล็กๆ บริเวณบ้าน ทำให้ได้ยินเสียงน้ำไหล ก็ช่วยสร้างบรรยากาศความเป็นธรรมชาติได้มากทีเดียว

สร้างกลิ่นที่รู้สึกถึงความสดชื่น
ปกติเมื่อเราอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ เรามักจะได้กลิ่นสดชื่นของต้นไม้ใบหญ้า รวมถึงกลิ่นดิน กลิ่นธรรมชาติเหล่านี้สามารถทำให้รู้สึกผ่อนคลายได้ นอกจากนี้กลิ่นของต้นไม้ประเภทไม้ดอกหลายชนิด ก็มีกลิ่นหอมที่แตกต่างกันออกไป ยกตัวอย่าง เช่น มะลิ พุดน้ำบุศย์ กรรณิการ์ จะมีกลิ่นหอมในช่วงเวลากลางคืน ดอกจำปี สายน้ำผึ้ง จะมีกลิ่นตั้งแต่ช่วงค่ำถึงรุ่งสาง โมกราชินี มีกลิ่นหอมในช่วงหน้าร้อน สายหยุด ดอกจะบานในช่วงหน้าฝน จะมีกลิ่นหอมในช่วงเช้าและช่วงเย็น และราชาวดี มีกลิ่นหอมตลอดวัน และตลอดทั้งปี ทั้งนี้การเลือกพันธุ์ไม้ชนิดใดมาปลูกก็ขึ้นอยู่กับเนื้อที่ของบริเวณบ้าน และความชอบในกลิ่นของแต่ละคนด้วย

สร้างการสัมผัสให้รู้สึกใกล้ชิดกับธรรมชาติ
การที่ร่างกายเราได้สัมผัสโดยตรงกับธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นการสัมผัส ลูบคลำต้นไม้ ไม้ใบ การเดินด้วยเท้าเปล่าให้เท้าสัมผัสพื้นหิน และการเดินบนสนามหญ้านุ่มๆ ที่ชุ่มไปด้วยน้ำค้าง  นอกจากจะช่วยทำให้ร่างกายได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติแล้ว ยังช่วยกระตุ้นเซลล์ประสาท ทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่าและสดชื่น นอกจากนี้การติดสปริงเกอร์เพิ่มละอองน้ำให้กับสวน และต้นไม้ก็เป็นอีกวิธีที่จะช่วยทำให้สวนสดชื่น สร้างกลิ่นไอของธรรมชาติและความผ่อนคลายได้เป็นอย่างดี

การสร้างบรรยากาศ และการจัดสวนภายใต้คอนเซปต์ Therapeutic Garden ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นเพียงไอเดียบางส่วนสำหรับการออกแบบ และจัดสวนรอบบริเวณที่พักอาศัยเพื่อการบำบัดร่างกาย และจิตใจที่สามารถช่วยเรื่องสุขภาพ ในภาวะโรคระบาดเช่นนี้ หากบ้านไหนมีพื้นที่บ้านเหลือไม่มากต่อการจัดสวนก็สามารถปรับเปลี่ยนเป็นการปลูกต้นไม้ฟอกอากาศภายในบริเวณบ้านก็เป็นอีกทางเลือกในการบำบัดได้เช่นกัน
แต่ถ้าใครกำลังมองหาบ้านใหม่ แนะนำให้เลือกซื้อบ้านที่มีพื้นที่รอบบ้านพอจะจัดสวนเพิ่มเติม หรือหมู่บ้านที่ออกแบบให้บ้านสามารถใกล้ชิดธรรมชาติตลอดทั้งโครงการ ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่รอบๆ หมู่บ้านที่รายล้อมไปด้วยแมกไม้ สวนหย่อมภายในโครงการที่จะช่วยทำให้คุณได้บำบัดและผ่อนคลายในแบบคอนเซปต์ Therapeutic Garden ก็จะช่วยให้สุขภาพกาย และสุขภาพใจ ได้รับการบำบัดได้ดียิ่งขึ้น

ดูข้อมูลโครงการหมู่บ้านที่ใกล้เคียงคอนเซปต์ Therapeutic Garden จาก อารียา พรอพเพอร์ตี้
Como Bianca เริ่มบทใหม่ของชีวิต ให้เต็มทุกจินตนาการ
Como Botanica ออกแบบชีวิตให้ชิดธรรมชาติ

อ้างอิงข้อมูลจาก
https://citycracker.co/intangible-city/therapeutic-garden/
https://www.baanlaesuan.com/250083/ideas/garden-ideas/therapeutic-garden
https://www.livinginsider.com/inside_topic/5516/1/8-perfume-tree.html

ก้าวใหม่ของเทรนด์การลงทุน การสร้างสินทรัพย์ และการใช้จ่ายด้วยเงินดิจิทัล

ก้าวใหม่ของเทรนด์การลงทุน การสร้างสินทรัพย์ และการใช้จ่ายด้วยเงินดิจิทัล

Cryptocurrency คือ สินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset) ประเภทหนึ่งที่อยู่บนโลกออนไลน์ ซึ่งสินทรัพย์ดิจิทัลนั้นหมายรวมถึง ข้อมูล เนื้อหา ภาพถ่าย และอื่นๆ ซึ่ง Cryptocurrency ก็เป็นสินทรัพย์ดิจิทัลประเภทหนึ่งที่มีการซื้อขายแลกเปลี่ยนบนตลาดออนไลน์

ปัจจุบันการลงทุนและการใช้จ่ายเงินดิจิทัล (Cryptocurrency) กำลังเป็นเทรนด์มาแรง และถูกพูดถึงกันมากขึ้น ซึ่ง Cryptocurrency ที่กำลังเป็นที่นิยมลงทุนกันในปัจจุบัน คงหนีไม่พ้นสกุลเงิน Bitcoin  นอกจาก Bitcoin แล้วยังมีสกุลเงินอื่นๆ อีกมากกว่า 10,000 สกุลเงิน แต่ Bitcoin เป็นสกุลเงินที่ได้รับความนิยมมากที่สุด โดยถือกำเนิดมาตั้งแต่ปี 2008 ที่เข้ามาในรูปแบบเงินดิจิทัล ถือเป็นการเข้ามาเปลี่ยนแปลงการทำธุรกรรมผ่านธนาคารแบบเดิมๆ ไปเป็นการทำธุรกรรมบนบล็อกเชนที่น่าเชื่อถือและปลอดภัย โดยไม่ต้องพึ่งพาสถาบันการเงินใด

ที่ผ่านมามีนักลงทุนที่สนใจเข้ามาลงทุนใน Cryptocurrency เป็นจำนวนมาก และมีนักลงทุนหลายท่านที่ประสบความสำเร็จในการลงทุนนี้จนได้รับผลตอบแทนอย่างมหาศาล จึงทำให้นักลงทุนหน้าใหม่ๆ สนใจเข้ามาลงทุนบนเส้นทางนี้กันมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้การลงทุนใน Cryptocurrency จะมีความเสี่ยงสูง แต่ถ้าหากศึกษาข้อมูลและมีวางแผนการลงทุนอย่างรอบคอบก็สามารถทำกำไรได้เช่นกัน

แนวโน้มการนำเงินดิจิทัลมาใช้จ่ายจริง 

เทรนด์ที่หน้าจับตามองตั้งแต่ช่วงปลายปี 2021 จนมาถึงปี 2022 จะเห็นได้ว่าเริ่มมีหลายธุรกิจเปิดแผนรองรับการชำระเงินในการซื้อสินค้า และบริการด้วยเงินดิจิทัลกันมากขึ้น เพื่อเปิดโอกาสให้นักลงทุนที่ถือเงินดิจิทัล นำเงินที่เก็บไว้ออกมาจับจ่ายใช้สอย ที่ผ่านมามีธุรกิจทั้งใน และต่างประเทศที่เปิดรับชำระด้วยเงินดิจิทัลเหล่านี้กันแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการซื้อรถยนต์ อสังหาริมทรัพย์ เครื่องประดับ ตั๋วหนัง วิดีโอเกม โดเมนเว็บไซต์ การบริจาคไปยังองค์กรการกุศล การจ่ายค่าเล่าเรียน เป็นต้น โดยธุรกิจในไทยที่เริ่มนำร่องรับชำระเงินผ่านเหรียญเงินดิจิทัลกันไปแล้ว ได้แก่
•    รถยนต์ Tesla สามารถซื้อด้วยเหรียญบิตคอยน์ (Bitcoin/BTC) ภายใต้การนำเข้าของบริษัท วสุธา กรุ๊ป ผู้นำเข้ารถยนต์ Tesla รายเดียวของประเทศไทย
•    ร้านอินทนิล รับชำระเงินค่ากาแฟ และผลิตภัณฑ์ในร้าน โดยชำระด้วยเหรียญ 3 สกุลเงิน ได้แก่ บิตคอยน์ (Bitcoin/BTC), อีเทอเรียม (Ethereum/ETH) และเทเทอร์ (Tether/USDT) ผ่าน บิทาซซ่า (Bitazza)
•    ห้างสรรพสินค้าในเครือ The Mall Group รับชำระค่าสินค้าและบริการด้วยเหรียญ 7 สกุลเงิน  ได้แก่ Bitkub Coin (KUB), Bitcoin (BTC), Ether (ETH), Tether (USDT), Ripple (XRP), Stellar Lumens (XLM) และ JFIN Coin (JFIN)
•    ตั๋วหนัง Major Cineplex รับชำระค่าตั๋วภาพยนตร์ภาพเหรียญบิตคอยน์ (Bitcoin/BTC) ภายใต้การจับมือกันของ Zipmex และ Rapidz
นอกจากนี้ยังมีอีกหลายธุรกิจที่เริ่มรับชำระเงินดิจิทัล ซึ่งในอนาคตอีกไม่ไกลนี้ เชื่อว่าจะมีอีกหลายธุรกิจที่รองรับการชำระเงินดิจิทัลมากขึ้น เพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ และดึงดูดความสนใจให้คนมาลงทุนใน Cryptocurrency เพื่อใช้จ่ายในรูปแบบใหม่ได้มากขึ้นด้วย

NFT เทรนด์การสร้างมูลค่าสินทรัพย์ของคนรุ่นใหม่

NFT (Non-Fungible Token) เป็น Cryptocurrency ประเภทหนึ่งที่กำลังได้รับความสนใจสำหรับคนรุ่นใหม่ ที่ต้องการสร้างมูลค่าให้กับผลงาน และดึงดูดความสนใจของนักลงทุน ซึ่งในประเทศไทยก็เริ่มมีการใช้จ่ายผ่านรูปแบบ NFT (Non-Fungible Token) ให้เห็นเพิ่มมากขึ้นกันในหลายๆ วงการ เช่น วงการศิลปะ ภาพวาด ดนตรี ภาพยนตร์ และวงการเกม เป็นต้น โดยขั้นตอนของการได้มาซึ่ง NFT (Non-Fungible Token) และการเพิ่มมูลค่าของสินทรัพย์ประเภทนี้ ผู้ที่เป็นเจ้าของผลงานสามารถนำผลงานของตัวเองออกมาขายในรูปแบบ NFT (Non-Fungible Token)  โดยผูกกับเงินเหรียญ (Token) สกุลใดสกุลหนึ่ง เพื่อเป็นตัวกำหนดมูลค่าและยืนยันความเป็นลิขสิทธิ์แท้ของงานชิ้นนั้นๆ

ถือว่าเป็นช่องทางการทำเงินให้กับคนรุ่นใหม่ที่มีไอเดีย และผลงานที่เป็นเอกลักษณ์ ได้นำผลงานของตนเองออกมาจำหน่าย และถ้าหากผลงานชิ้นไหนที่เป็นที่ต้องการของผู้ซื้อหรือนักลงทุน ก็จะทำให้มูลค่าของงานชิ้นนั้นสูงขึ้น นอกจากจะได้ราคาจากผลงานแล้ว ยังมีโอกาสในการสร้างชื่อเสียงผ่านผลงานให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างอีกด้วย

เชื่อว่าเทรนด์การลงทุนใน Cryptocurrency หรือเงินดิจิทัลโดยภาพรวมในมุมมองของประเทศไทยแล้ว นอกจากเป็นเทรนด์การลงทุนเงินดิจิทัลและโอกาสทางธุรกิจที่น่าสนใจ การที่เราสามารถนำเงินดิจิทัลเหล่านั้นออกมาจับจ่ายใช้สอยได้ในชีวิตประจำวัน โดยไม่ต้องทำธุรกรรมผ่านธนาคาร หรือตัวกลางในแบบเดิมๆ ก็นับเป็นการเปลี่ยนแปลงที่น่าจับตามองว่าทิศทางในอนาคตของ Cryptocurrency จะเข้ามามีบทบาทเพิ่มขึ้นในสังคม และเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของมนุษย์เราให้เป็นไปในรูปแบบใดบ้าง ก็ต้องติดตามกันต่อไป…

อ้างอิงข้อมูลจาก
www.springnews.co.th
www.bangkokbiznews.com

7 แนวทางการใช้ชีวิตที่บ้านให้กลายเป็น Eco living

7 แนวทางการใช้ชีวิตที่บ้านให้กลายเป็น Eco living

ปัญหาสิ่งแวดล้อมเรื่องสภาพอากาศ และภาวะโลกร้อนในปัจจุบันเป็นประเด็นหลักที่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของคนเรา แต่จะดีกว่าไหม ถ้าปรับเปลี่ยนชีวิต และพฤติกรรมเพียงเล็กน้อย แต่สามารถช่วยยับยั้งปัญหา และทำให้โลกสดใสขึ้นได้ ด้วยการปรับการใช้ชีวิตประจำวันให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ผ่านแนวคิดแบบ Eco living ที่สามารถเริ่มต้นได้จากที่บ้าน หากหลายๆ บ้านร่วมด้วยช่วยกัน ก็จะส่งผลที่ดีต่อโลก และสิ่งแวดล้อมในอนาคตอย่างแน่นอน เรามาดูกันว่าแนวทางการใช้ชีวิตในแบบฉบับ Eco Living ที่คุณสามารถทำได้ง่ายๆ มีอะไรกันบ้าง

1. ออกแบบที่อยู่อาศัย และเลือกใช้วัสดุที่ช่วยลดความร้อน
การออกแบบ และการเลือกใช้วัสดุในการสร้างบ้านปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเป็นตัวช่วยในการลดปริมาณแสง และความร้อนที่จะเข้ามาสู่ตัวบ้านได้เป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการเลือกใช้วัสดุ การติดกันสาด การเลือกใช้กระจกสีช่วยลดแสง การออกแบบช่องลมให้มีอากาศถ่ายเท รวมไปถึงการทาสีบ้านโทนอ่อนก็จะช่วยสะท้อนแสงอาทิตย์ และลดอุณหภูมิที่เข้ามาประทะได้เป็นอย่างดี ซึ่งจะช่วยลดปริมาณการใช้เครื่องปรับอากาศและลดค่าใช้จ่ายลงได้

2. ประหยัดไฟ
การประหยัดไฟนอกจากคอยหมั่นปิดไฟ และเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านหลังการใช้งานแล้ว การเลือกใช้อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 การใช้หลอดไฟที่มีระบบ Light Automatic Sensor ที่เปิด-ปิดไฟเองโดยอัตโนมัติเมื่อมีการเคลื่อนไหว รวมไปถึงการเปลี่ยนหลอดไฟภายในบ้านทั้งหมดให้เป็นแบบ LED ก็จะช่วยประหยัดพลังงาน เพราะกินไฟต่ำ มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน แถมยังลดความร้อนภายในบ้านได้เป็นอย่างดี เนื่องจากมีความร้อนค่อนข้างต่ำ จึงไม่ทำให้อากาศภายในห้องเกิดความร้อนจากแสดงหลอดไฟที่ใช้ และช่วยลดการทำงานของเครื่องปรับอากาศ เรียกได้ว่าเป็นการประหยัดไฟ 2 ต่อเลยทีเดียว

3. ประหยัดน้ำ
การใช้น้ำในชีวิตประจำวันเชื่อว่า คงน้อยครั้งมากที่เราจะเปิดน้ำทิ้ง แต่วิธีที่จะช่วยในการประหยัดน้ำจากเดิมสามารถทำได้ด้วยการหมั่นตรวจตรา เช็คท่อน้ำ และก๊อกน้ำไม่ให้รั่วไหล ปิดน้ำระหว่างถูสบู่ หรือแปรงฟัน รวมไปถึงการซักผ้าครั้งละมากๆ ก็จะช่วยลดปริมาณการใช้น้ำได้ นอกจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้น้ำแล้ว การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดปริมาณการสูญเสียน้ำให้น้อยลง ก็เป็นอีกตัวช่วยที่ดีเช่นเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่น การเปลี่ยนจากการอาบน้ำแบบตักอาบมาเป็นฝักบัว การเลือกใช้สุขภัณฑ์ประหยัดน้ำระบบ Dual Flush ที่มีให้เลือกกดล้างแบบหนัก หรือเบาได้จากปุ่มกด 2 ปุ่มบนโถเก็บน้ำ ก็จะช่วยประหยัดน้ำ และค่าใช้จ่ายได้อีกด้วย

4. การหมุนเวียนทรัพยากร (Zero Waste)
ปัญหาขยะส่วนหนึ่งมาจากการใช้ของครั้งเดียวแล้วทิ้ง ไม่ว่าจะเป็น ขวดน้ำพลาสติก หลอด กล่องโฟม รวมถึงผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ถ้าหากมีการหมุนเวียนทรัพยากรและนำกลับมาใช้ใหม่ให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด (Zero Waste) ก็จะทำให้อัตราการเกิดขยะน้อยลง โดยยึดหลักการปฏิบัติ 1A3R  ได้แก่ Avoid เลี่ยงการก่อขยะเพิ่ม Reuse การนำกลับมาใช้ใหม่ Reduce ใช้วัสดุที่ก่อให้เกิดขยะน้อยลง Recycle การหมุนเวียนนำกลับมาใช้ใหม่ ซึ่งสามารถทำได้หลากหลาย เช่น การนำสิ่งของที่ใช้แล้วกลับมาใช้หรือดัดแปลงให้เกิดประโยชน์ และใช้ซ้ำ การนำเสื้อผ้าเก่าๆ ไปบริจาค หรือนำมาใช้เป็นผ้าถูพื้น การซ่อมแซมอุปกรณ์เครื่องใช้ในบ้านให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ไม่ทิ้งเป็นขยะ การใช้กระดาษชำระในปริมาณที่พอเหมาะ การใช้กระดาษให้ครบทั้งสองหน้า หรือการปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันด้วยการพกกระบอกน้ำส่วนตัว เพื่อลดการใช้พลาสติก การพกถุงผ้าไปซื้อของ การงดรับช้อนส้อมพลาสติก เป็นต้น การกระทำ และการปรับพฤติกรรมเหล่านี้ นอกจากช่วยลดปริมาณขยะแล้ว ยังช่วยประหยัดเงินในกระเป๋าได้อีกทาง

5. การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์
การเลือกใช้พลังงานทางเลือกโดยการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ เป็นการช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในการใช้ไฟฟ้าได้เป็นอย่างดี เนื่องจากตัวโซลาร์เซลล์นี้จะช่วยผลิตและจ่ายกระแสไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ในช่วงเวลากลางวันมาเก็บไว้ในแบตเตอรี่ ซึ่งสามารถดึงมาใช้ได้แม้กระทั่งในช่วงที่ไม่มีแสงแดดแล้วก็ตาม รวมไปถึงใช้เป็นพลังงานไฟฟ้าสำรองในยามที่ไฟฟ้าดับได้

6. เพิ่มพื้นที่สีเขียว
การปลูกต้นไม้ หรือการทำสวนเล็กๆ บริเวณรอบบ้านนอกจากช่วยให้บ้านดูสดชื่นน่าอยู่ เพิ่มพื้นที่กิจกรรมให้กับคนในครอบครัวแล้ว ต้นไม้และพืชสีเขียวจะช่วยปลดปล่อยออกซิเจนบริเวณรอบตัวบ้าน ทำให้อุณหภูมิรอบบ้านลดลง บ้านร่มเย็น และประหยัดไฟ ซึ่งทุกๆ บ้านก็สามารถทำได้ง่ายๆ

7. เลือกใช้ยานยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV)
พลังงานไฟฟ้ากำลังเข้ามามีบทบาทและทดแทนพลังงานน้ำมันในรูปแบบเดิม ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ปลอดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Net Zero Emission) หรือยานยนต์ที่ปราศจากการปล่อยมลพิษ ซึ่งจะช่วยให้เราก้าวไปสู่ยุคของเทคโนโลยีที่สามารถอยู่ร่วมกับมนุษย์ได้อย่างยั่งยืน และเป็นทางเลือกที่ทำให้ยานพาหนะ อย่างรถยนต์ หรือมอเตอร์ไซค์ สามารถชาร์จพลังงานได้ผ่านทาง EV Charger จากทั้งที่บ้าน แบบ Normal Charge (AC) หรือสถานีชาร์จไฟ แบบ Quick Charge (DC) ซึ่งจะเป็นทางเลือกในการประหยัดพลังงาน และเป็นมิตรต่อโลกได้อย่างแท้จริง

แนวทางการปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตและการอยู่อาศัยในแบบ Eco living ที่กล่าวข้างต้น นอกจากช่วยคุณประหยัดพลังงานและค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น ยังเป็นการช่วยสร้างคุณภาพชีวิต และสิ่งแวดล้อมที่ดีให้แก่คุณและครอบครัว ส่วนใครที่กำลังมองบ้านใหม่ที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตในแบบ Eco Living ที่มาพร้อมกับสังคมคุณภาพ อารียา พรอพเพอร์ตี้ขอนำเสนอ 2 โครงการบ้านโซนบางนา  Como Bianca และ Como Botanica ที่ช่วยให้ชีวิตสไตล์ Eco Living สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น

ดูข้อมูลโครงการหมู่บ้านในสไตล์ Eco Living จาก อารียา พรอพเพอร์ตี้
Como Bianca เริ่มบทใหม่ของชีวิต ให้เต็มทุกจินตนาการ
Como Botanica ออกแบบชีวิตให้ชิดธรรมชาติ

 

6 วิธีช่วยลดฝุ่น PM 2.5 ช่วยโลก ช่วยเรา

6 วิธีช่วยลดฝุ่น PM 2.5 ช่วยโลก ช่วยเรา

ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ส่งผลกับสุขภาพ และความเป็นอยู่โดยตรงของคุณ และคนในครอบครัว เมื่อเข้าสู่ช่วงหน้าหนาวตั้งแต่เดือน ธ.ค.-ก.พ. มีแนวโน้มที่จะเกิดสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 เกินมาตรฐาน ด้วยสาเหตุจากมวลอากาศเย็นที่แผ่ลงมามีกำลังอ่อนลง ทำให้เกิดลมอ่อนๆ ที่จะพัดฝุ่นละอองจากการเผาในที่โล่ง มลพิษที่เกิดจากการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ โรงงานอุตสาหกรรม และฝุ่นควันจากประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้เกิดฝุ่น PM 2.5 สะสมเพิ่มมากขึ้น ถึงแม้จะอยู่แต่บ้าน ไม่ออกไปไหน ฝุ่น PM 2.5 เหล่านี้ก็สามารถที่จะเข้าคุกคามสุขภาพได้ถึงในบ้าน อารียา พรอพเพอร์ตี้ จึงขอนำเสนอ 6 แนวทางในการช่วยลดปริมาณฝุ่น PM 2.5 ที่สามารถทำได้ง่ายๆ จากที่บ้าน

1. งดเผาขยะ งดจุดธูป เปลี่ยนมาใช้ธูปไฟฟ้า
การเผาขยะจะทำให้เกิดการเผาไหม้ซึ่งจะเป็นการเพิ่มควัน และฝุ่นพิษให้อากาศ นอกจากนี้ควรปรับเปลี่ยนการจุดธูป ซึ่งปกติจะทำให้เกิดฝุ่นจากธูป และควัน มาใช้ธูปและเทียนแบบไฟฟ้า ทั้งนี้เพื่อลดปริมาณควัน และลดอัตราการเกิดอัคคีภัยในช่วงหน้าหนาวที่อากาศแห้งได้ด้วย ซึ่งแนวทางการแก้ไขในเรื่องของการเผาขยะ โดยการหมุนเวียนทรัพยากร (Zero Waste) เพื่อช่วยลดปริมาณขยะและนำกลับมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยการหลีกเลี่ยงการก่อให้เกิดขยะ นำสิ่งของกลับมาใช้ใหม่ ใช้วัสดุทดแทน ซึ่งการกระทำเหล่านี้จะช่วยลดปัญหาขยะลงได้

2. ติดตั้งเครื่องฟอกอากาศ
การป้องกันฝุ่นด้วยการปิดหน้าต่างๆ และประตูบ้านตลอดเวลา อาจลดปริมาณฝุ่นทั่วไปได้ แต่ฝุ่น PM 2.5 เป็นฝุ่นที่มีอนุภาคเพียง 2.5 ไมครอน ซึ่งเป็นขนาดที่เล็กมากจนเครื่องปรับอากาศไม่สามารถดักจับได้ ตัวช่วยในการดักจับฝุ่นด้วยเครื่องฟอกอากาศจึงเป็นทางเลือกที่คนหันมาใช้กันมากขึ้น เครื่องฟอกอากาศที่ขายในท้องตลาดมีหลายแบรนด์ให้เลือก แต่การเลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศที่เหมาะสม ควรคำนึงถึงขนาดของพื้นที่ห้องกับขนาดของตัวเครื่องให้เหมาะสมกัน จึงจะมีประสิทธิภาพที่ดี

3. ปลูกต้นไม้ฟอกอากาศ 
ปัจจุบันการปลูกต้นไม้ฟอกอากาศเป็นเทรนด์ที่ผู้คนกำลังให้ความสนใจเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากให้ความสวยงามสบายตาแล้ว ยังทำให้อากาศภายในบ้านสดชื่นด้วย ต้นไม้ที่มีคุณสมบัติในการฟอกอากาศและเป็นที่นิยมสำหรับการนำมาปลูก และวางตามจุดต่างๆ ของบ้าน มีหลากหลายพรรณไม้ ยกตัวอย่างเช่น ต้นยางอินเดีย พลูด่าง เศรษฐีเรือนใน เศรษฐีพันล้าน ลิ้นมังกร เขียวหมื่นปี เดหลี ไทรใบสัก กวักมรกต และยังมีอีกมากมาย ทั้งนี้ต้นไม้แต่ละชนิดจะมีคุณสมบัติและการดูแลที่แตกต่างกันไป ควรศึกษารายละเอียดก่อนนำมาปลูกด้วย

4. ลดการใช้รถยนต์ส่วนบุคคล
สาเหตุของฝุ่นละอองขนาดเล็ก ร้อยละ 50-60% มาจากการขับขี่ยานพาหนะบนท้องถนน สังเกตได้ว่าบริเวณที่มีการจราจรติดขัดมักมีอากาศที่ขมุกขมัว เนื่องมาจากหลายปัจจัย เช่น การเสียดสีของยางกับพื้นถนนทำให้เกิดฝุ่นละออง อีกทั้งรถยนต์ยังปล่อยควันจากท่อไอเสีย หากผู้คนส่วนใหญ่ลดอัตราการใช้รถบนท้องถนน หันไปใช้ระบบขนส่งมวลชนมากขึ้น ก็จะช่วยทำให้ปริมาณฝุ่นละอองที่เกิดจากปัญหาเหล่านี้ลดลงตามไปด้วยเช่นกัน

5. หมั่นเช็คสภาพรถ เพื่อลดควันดำ
การเผาไหม้ของเครื่องยนต์ที่ไม่สมบูรณ์ของทั้งรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ จะทำให้เกิดควันดำ และมลพิษทางอากาศ จึงควรหมั่นตรวจเช็คเครื่องยนต์ให้อยู่ในสภาพปกติ การใช้งานไม่ควรมีควันดำ หรือปล่อยควันดำขณะขับขี่ เพียงเท่านี้ก็จะช่วยลดมลพิษทางอากาศได้อีกช่องทาง

6. หมั่นทำความสะอาดบ้าน 
การทำความสะอาดบ้าน ปัดกวาดเช็ดถูเฟอร์นิเจอร์ด้วยผ้าชุบน้ำเพื่อป้องกันการกระจายของฝุ่น รวมทั้งการล้างอุปกรณ์เครื่องใช้ เครื่องปรับอากาศ พัดลม แผ่นกรองอากาศ มุ้งลวด และเช็ดทุกซอกมุมของบ้าน เพื่อช่วยลดแหล่งสะสมของฝุ่นได้อย่างง่ายๆ

การคำนึงถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมของโลกในปัจจุบันที่กำลังเกิดขึ้น จะสามารถค่อยๆ แก้ไขได้ด้วยการที่ทุกๆ คนมีความเข้าใจ และปรับพฤติกรรมในการใช้ชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งสามารถเริ่มต้นการแก้ไขปัญหาได้จากที่บ้าน ถ้าทุกคนร่วมใจกันปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ช่วยเหลือสิ่งแวดล้อมกันแล้ว เชื่อว่านอกจากจะลดปริมาณฝุ่น PM 2.5 ยังช่วยลดความเสี่ยงโรคต่างๆ ที่จะเกิดจากฝุ่นพิษเหล่านี้ด้วย นอกจากนี้ก่อนออกจากบ้านควรสวมหน้ากากสำหรับป้องกัน PM 2.5 และไม่ควรกังวลกับสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 มากเกินไป จนเกิดความเครียด หรือปัญหาสุขภาพอื่นๆ ตามมา อารียา พรอพเพอร์ตี้ขอเป็นหนึ่งกำลังใจส่งความห่วงใยสุขภาพของคุณ และทุกคนในครอบครัว ^_^

 

เตรียมตัวซื้อบ้านช่วงปลายปี มีวิธีอย่างไร?

การเตรียมกู้ซื้อบ้านช่วงปลายปี มีวิธีอย่างไร

ช่วงส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ การเลือกซื้อบ้านเป็นของขวัญให้กับตัวเองนับเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่ควรค่าแก่การลงทุนเป็นอย่างมาก เพราะตั้งแต่วันที่ 20 ตุลาคม 2564 ที่ผ่านมา ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ประกาศผ่อนคลายหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย และสินเชื่ออื่นที่เกี่ยวเนื่องกับสินเชื่อที่อยู่อาศัย (มาตรการ LTV) ชั่วคราว ให้สามารถกู้ได้ 100% เต็มมูลค่าหลักประกันสำหรับการยื่นกู้บ้านในทุกระดับราคา จากเดิมอยู่ที่ 70-100% ซึ่งมาตรการนี้จะสิ้นสุดถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565 นับได้ว่าเป็นนาทีทองของคนกำลังมองหาบ้านใหม่เลยทีเดียว แต่ก่อนที่จะมีบ้านสักหลังแบบง่ายๆ สบายๆ ผ่านขั้นตอนการกู้บ้านกับธนาคาร มีขั้นตอนที่ควรรู้ และต้องเตรียมความพร้อมกันเสียก่อน โดยขั้นตอนเหล่านี้จะช่วยให้การยื่นกู้บ้านนั้นผ่านฉลุยอย่างง่ายดาย มาดูว่าต้องเตรียมอะไรกันบ้าง

1. เลือกบ้านที่ใช่ สไตล์ที่ชอบ

ก่อนการยื่นกู้ซื้อบ้านนั้น ผู้กู้ต้องเลือกหาบ้านที่ตอบโจทย์ชีวิต กับสไตล์ที่ใช่เสียก่อน เพื่อเตรียมตัวสำหรับการยื่นกู้ และประเมินวงเงินกู้ซื้อบ้านที่จะได้รับ แต่ถ้าใครยังไม่มีตัวเลือกในใจ เรามาดูกันก่อนว่าควรเลือกบ้านแบบไหนให้ตอบโจทย์ได้บ้าง
อันดับแรก คนส่วนใหญ่มักเลือกบ้านจากทำเลเป็นหลัก เพื่อให้สะดวกต่อการเดินทางไปทำงาน หรือใช้ชีวิตในประจำวัน อันดับที่สอง เป็นเรทราคาที่สามารถกู้ซื้อบ้านได้ โดยส่วนใหญ่แล้วมักจะอนุมัติวงเงินการกู้อยู่ที่ไม่เกิน 40% ของรายได้ต่อเดือน ก็จะทำให้เรารู้ว่าความสามารถในการจ่ายต่อเดือน รวมถึงราคาบ้านที่สามารถกู้ได้อยู่ที่ราคาเท่าไหร่ สุดท้าย เมื่อเรารู้วงเงินกู้ซื้อบ้านโดยประมาณการ ก็สามารถเลือกเราแบบบ้าน ที่ตอบโจทย์ในโซนและทำเลที่ต้องการได้

2. สำรวจเครดิตบูโร และเอกสารให้พร้อมก่อนยื่นกู้ซื้อบ้าน

ก่อนการยื่นเอกสารสำหรับการกู้บ้าน ผู้กู้ควรสำรวจเครดิตบูโรของตนเองเสียก่อน ว่าอยู่ในสถานะปกติหรือไม่ หากเคยมีประวัติติดบูโร ควรเคลียร์ประวัติให้อยู่ในสถานะปกติ 2-3 ปี ส่วนในเรื่องของการเตรียมเอกสารสำหรับยื่นกู้ของทุกธนาคารมักมีรายละเอียดที่ไม่แตกต่างกัน เพียงตรวจสอบคุณสมบัติ และเตรียมเอกสารต่างๆ ให้พร้อม ขั้นตอนการยื่นกู้ก็จะสามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว โดยจะมีรายละเอียด และรายการเอกสารที่ต้องเตรียม ดังนี้
– ผู้กู้ต้องมีสัญชาติไทย อายุ 20 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป แต่ไม่เกิน 65 ปี
– บัตรประชาชน
– ทะเบียนบ้าน
– ทะเบียนสมรส
– ใบเปลี่ยนชื่อ หรือนามสกุล (ถ้ามี)
– หนังสือรับรองเงินเดือน หรือสลิปเงินเดือน
– เอกสารรับรองการทำงาน
– หลักฐานแสดงรายได้พิเศษอื่นๆ
– รายการเดินบัญชีย้อนหลัง 6 เดือน
หลังจากการยื่นเอกสารการกู้ซื้อบ้านต่างๆ ครบถ้วนแล้ว โดยทั่วไปธนาคารจะใช้เวลาในการพิจารณาและอนุมัติสินเชื่อประมาณ 7-20 วันทำการ แต่ก็มีบางธนาคารที่อาจใช้เวลาเพียง 3 วันในการแจ้งผลอนุมัติเบื้องต้น หรือบางรายอาจนานเป็นเดือนหากธนาคารขอเอกสารในการพิจารณาอื่นๆ เพิ่มเติม

3. เช็ครายได้ และความสามารถในการกู้

การพิจารณาวงเงินในการกู้ซื้อบ้าน หรือคอนโดของธนาคารนั้น ปกติแล้วจะดูจากฐานเงินเดือน หรือรายรับ รายได้เสริมอื่นๆ ระยะเวลาในการทำงาน รวมถึงความน่าเชื่อถือของงานที่ทำ และที่สำคัญอีกข้อหนึ่งคือยอดหนี้สินปัจจุบันที่ยังผ่อนชำระอยู่ ซึ่งจะส่งผลต่อวงเงินที่อนุมัติ ถ้าหากใครต้องการกู้ในวงเงินสูงสุดก็ควรวางแผนปิดยอดหนี้ให้เรียบร้อยเสียก่อน โดยพื้นฐานแล้วทางธนาคารมักจะอนุมัติวงเงินกู้อยู่ที่ประมาณ 50 เท่าของเงินเดือน หรืออาจมากกว่าก็ขึ้นอยู่กับประวัติทางการเงิน รวมถึงความสามารถในการผ่อนชำระหนี้ ซึ่งไม่ควรเกิน 40% ของเงินเดือน

4. เลือกโปรโมชั่นดอกเบี้ยบ้านแบบถูกๆ กู้ง่ายๆ

ปัจจุบันหลายๆ ธนาคารมักออกโปรโมชั่นดอกเบี้ยในอัตราดอกเบี้ยที่ค่อนข้างต่ำ โปรโมชั่นของแต่ละธนาคารก็จะแตกต่างกันออกไป ทั้งนี้มักจะมีโปรโมชั่นพ่วงกับลูกค้าเก่าที่เคยใช้บริการ ลูกค้าองค์กร หรือลูกค้ายื่นกู้บ้านหลังแรก เป็นต้น ก่อนการตัดสินยื่นกู้ซื้อบ้านกับธนาคารไหนจึงควรสำรวจโปรโมชั่นและรายละเอียดของหลายๆ ธนาคารเสียก่อน

5. กู้ร่วม ช่วยเพิ่มโอกาสในกู้บ้านได้ง่ายขึ้น

การกู้ร่วม เป็นวิธีหนึ่งที่เป็นตัวช่วยในการยื่นกู้ซื้อบ้าน และคอนโดได้ง่ายขึ้น และได้วงเงินการกู้ที่สูงขึ้นด้วย ทั้งนี้เงื่อนไขในการกู้ร่วมเพื่อซื้อบ้าน หรือคอนโดนั้น ผู้กู้ร่วมถูกกำหนดให้เป็นญาติสนิท ได้แก่ พ่อแม่ พี่น้อง (นามสกุลเดียวกัน) คู่สมรส (จดทะเบียนและไม่จดทะเบียน) รวมไปถึงคู่รักกลุ่ม LGBTQ ที่มีเอกสารยืนยันมีการอาศัยอยู่ด้วยกัน ซึ่งธนาคารจะมีเอกสารให้กรอกรายละเอียดเพิ่มเติม

การเตรียมเอกสาร และหลักฐานสำหรับการยื่นกู้บ้านตามรายการที่แนะนำไปเบื้องต้นแล้วนั้น เชื่อว่าจะสามารถทำให้ขั้นตอนการยื่นกู้ และการพิจารณาอนุมัติวงเงินกู้ซื้อบ้าน และคอนโดในช่วงปลายปีแบบนี้เป็นไปอย่างราบรื่น และรวดเร็วทันเข้าอยู่ต้นปีหน้าเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับคุณและครอบครัวอย่างแน่นอน

เลือกดูบ้านเดี่ยว และทาวน์โฮม ที่มาพร้อมกับฟังก์ชั่นที่ตอบโจทย์ ทำเลที่ใช่ สไตล์ที่ชอบจาก อารียา พรอพเพอร์ตี้
ทำเลกรุงเทพฯ และปริมณฑล คลิก บ้านเดี่ยว วิลเลจทาวน์ ทาวน์โฮม คอนโดมิเนียม

ปลดล็อก LTV กู้ได้เต็ม 100% ข่าวดีสำหรับคนอยากซื้อบ้าน

ปลดล็อก LTV กู้ได้เต็ม 100% ข่าวดีสำหรับคนอยากซื้อบ้าน

เมื่อวันที่ 21 ต.ค. 2564 ธปท. ได้มีการแถลงมาตรการผ่อนคลายหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย และสินเชื่ออื่นที่เกี่ยวเนื่อง (LTV) ให้ผู้ซื้อที่อยู่อาศัย สามารถกู้ได้เต็มหลักประกันในทุกสัญญาเป็นการชั่วคราว

โดยสาระสำคัญของการผ่อนคลาย LTV ในครั้งนี้คือ การปลดล็อกให้สามารถขอกู้ซื้อบ้านได้เต็ม 100% ไม่ว่าจะบ้าน คอนโดมิเนียม หรือทาวน์โฮม* จะหลังที่เท่าไหร่ หรือราคาไหน ก็สามารถยื่นกู้ได้หมด แบบไม่ต้องวางเงินดาวน์ และหากเป็นบ้านหลังแรก และราคาไม่เกิน 10 ล้านบาท สามารถกู้เพิ่มได้อีก 10% ไว้เป็นค่าตกแต่งบ้าน

ซึ่งการผ่อนคลาย LTV ในครั้งนี้ จะมีผลเพียงชั่วคราวสำหรับสัญญาเงินกู้ที่ทำสัญญาตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565 เท่านั้น ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด ดังนั้นใครที่กำลังอยู่ในช่วงพิจารณาเตรียมซื้อบ้านต้องรีบตัดสินใจกันได้เลย

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด

ทำความรู้จักกับ SMART HOME บ้านสำหรับคนรุ่นใหม่

ทำความรู้จักกับ SMART HOME บ้านสำหรับคนรุ่นใหม่

ปัจจุบันเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการใช้ชีวิต และได้รับความสนใจจากผู้บริโภคมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งแนวโน้มของเทรนด์การอยู่ร่วมกับเทคโนโลยีนั้น ได้มีหลากหลายแบรนด์ที่สร้างสรรค์และพัฒนาการใช้งานผลิตภัณฑ์ร่วมกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI (Artificial Intelligence) ในรูปแบบต่างๆ เพื่อตอบโจทย์ความเป็นอัจฉริยะ และความสะดวกสบายของผู้บริโภค ซึ่งธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ก็เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่นำเทคโนโลยีอัจฉริยะเหล่านี้เข้ามาประยุกต์ใช้งานร่วมกับที่อยู่อาศัย และกลายเป็นอีกหนึ่งจุดขายสำคัญที่ทำให้ธุรกิจเกิดผลิตภัณฑ์ที่มีความโดดเด่นที่เรียกว่า “บ้านอัจฉริยะ”

เทรนด์การอยู่อาศัยที่ทำให้บ้าน เป็นมากกว่าบ้าน บ้านที่จะช่วยตอบโจทย์ความสะดวกสบายในทุกจุด เรามาดูเทรนด์การอยู่อาศัยในบ้านอัจฉริยะกันค่ะ ว่ามีความอัจฉริยะรูปแบบไหนบ้างที่จะตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์สมัยใหม่

Smart Device อุปกรณ์อัจฉริยะ

อุปกรณ์อัจฉริยะ (Smart Device) เป็นอุปกรณ์ที่สามารถประมวลผลและทำงานได้เองโดยอัตโนมัติ เพื่อความสะดวกสบาย และให้ความประหยัดต่อผู้ใช้งาน อาจเป็นอุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต IoT หรือ Internet of Things หรือไม่ก็ได้ ซึ่งอุปกรณ์เครื่องใช้ภายในบ้านที่พัฒนามารองรับเทคโนโลยีเหล่านี้ก็มีอย่างหลากหลายในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็น แอร์คอนดิชั่นที่สามารถสั่งการได้ผ่านมือถือ การตั้งค่าเปิด/ปิดทีวีอัตโนมัติ แอปพลิเคชันควบคุมการเปิด/ปิดไฟในบ้าน ระบบกล้องวงจรปิดที่สามารถดูผ่านมือถือไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน ระบบเปิด/ปิดประตูรั้วบ้าน ระบบรางเลื่อนผ้าม่านอัตโนมัติ ระบบกันขโมย เป็นตัน

Smart Speaker ระบบการสั่งการด้วยเสียง

ระบบสั่งการด้วยเสียง (Smart Speaker) เป็นอีกเทคโนโลยีที่นำมาประยุกต์ใช้กับอุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆ ให้สามารถเข้าใจคำสั่งในรูปแบบเสียงได้ โดยปัจจุบันเราสามารถใช้อุปกรณ์เหล่านี้่ได้จริง ยกตัวอย่าง เช่น ลำโพงอัจฉริยะที่สามารถสตรีมเพลงได้จากทุกที่ที่คุณชื่นชอบ โทรศัพท์ที่สามารถถามข้อมูลต่างๆ และสามารถค้นหาข้อมูลและตอบโต้ได้ทันที การเปิด/ปิดไฟ หรือปรับระดับแสงด้วยเสียง และยังมีอีกหลายอย่างที่เข้ามาช่วยให้การใช้ชีวิตภายในบ้านสะดวกขึ้นเพียงออกคำสั่งด้วยเสียงเท่านั้น

Smart Sensor เครื่องตรวจจับอัจฉริยะ

เครื่องตรวจจับอัจฉริยะ (Smart Sensor) เป็นเทคโนโลยีระบบที่ทำหน้าที่ตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของวัตถุ และสิ่งของต่างๆ มาประมวลผลและสั่งการ ซึ่งปัจจุบันมีการนำระบบ Smart Sensor มาใช้ร่วมกับอุปกรณ์เทคโนโลยีที่ใช้ภายในที่อยู่อาศัยรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นระบบเซ็นเซอร์การเปิด/ปิดไฟ ระบบเตือนไฟไหม้เมื่อเซ็นเซอร์ตรวจจับความร้อนที่ผิดปกติ อุปกรณ์แจ้งเตือนอนุภาคฝุ่นภายในที่อยู่อาศัย เป็นต้น ซึ่งในอนาคตมีแนวโน้มที่เทคโนโลยีชิปเซนเซอร์อิเล็กทรอนิกส์จะมีขนาดเล็กลง และมีความฉลาดเพิ่มมากขึ้น ก็จะทำให้มีอุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆ ติดตั้งระบบเซนเซอร์เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการใช้ชีวิตได้มากขึ้นทีเดียว

Smart Door Lock ล็อกประตูอัจฉริยะ

ระบบล็อกประตูอัจฉริยะ (Smart Door Locks) เป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่สร้างความสะดวกสบายให้แก่ผู้ที่อาศัยอยู่บ้านหรือคอนโด ที่ไม่ต้องคอยพกกุญแจ และลืมเรื่องการลืมกุญแจหรือการทำกุญแจหายไปได้เลย เพราะเทคโนโลยีนี้ จะทำให้คุณล็อคประตูได้โดยไม่ต้องใช้กุญแจไข แต่ระบบจะถูกเปลี่ยนมาเป็นเทคโนโลยีที่สามารถเปิดและล็อคประตูได้ด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การกดรหัสผ่าน ใช้บัตรสารพัดที่มีอยู่กระเป๋าของคุณแทนกุญแจ การสแกนลายนิ้วมือ การสแกนม่านตา ฯลฯ ซึ่งนอกจากนี้ยังสามารถใช้แอปพลิเคชันบนมือถือเพื่อควบคุมการล็อกประตูอัจฉริยะในระยะไกลได้อีกด้วย

เทคโนโลยีที่กล่าวมานี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของระบบอัจฉริยะในรูปแบบต่างๆ ที่จะช่วยตอบโจทย์ความสะดวกสบาย และความปลอดภัยในการใช้ชีวิตมากยิ่งขึ้น นับเป็นจุดขายของการเป็น “บ้านอัจฉริยะ” และสามารถดึงดูดความสนใจของผู้ซื้อบ้านได้ไม่น้อย

ห้องนอนผู้สูงอายุ ออกแบบอย่างไรให้สะดวกและปลอดภัย

ห้องนอนผู้สูงอายุ ออกแบบอย่างไรให้สะดวกและปลอดภัย

การออกแบบที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงอายุ เป็นเรื่องที่ควรใส่ใจเป็นพิเศษสำหรับครอบครัวที่มีญาติผู้ใหญ่ เนื่องด้วยอายุที่มากขึ้น ย่อมทำให้ร่างกายเสื่อมสภาพลง และไม่สามารถใช้งานร่างกายได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งอาจทำให้การเคลื่อนไหว และการช่วยเหลือตัวเองลดลงจากวัยหนุ่มสาว

ซึ่งห้องนอนผู้สูงอายุเป็นห้องที่ควรได้รับการออกแบบเป็นพิเศษ เพราะผู้สูงอายุส่วนใหญ่มักใช้กิจวัตรประจำวันในห้องนอนมากกว่าห้องอื่นๆ ซึ่งหลายๆ ท่านก็มักใช้ห้องนอนเป็นห้องมัลติฟังก์ชั่น ที่สามารถเป็นได้ทั้งห้องนอน ห้องนั่งเล่น ห้องทานอาหาร ห้องออกกำลังกาย และห้องน้ำ ภายในห้องเดียวแบบเบ็ดเสร็จ การออกแบบห้องนอนของผู้สูงอายุจึงควรคำนึงถึงความสะดวกในเรื่องของการใช้งาน และความปลอดภัยเป็นหลัก อารียา พรอพเพอร์ตี้ จึงขอเสนอไอเดียการออกแบบห้องนอนสำหรับผู้สูงอายุ เพื่อการดูแลญาติผู้ใหญ่ของคุณให้ได้พักผ่อนและใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขกันนะคะ

ตำแหน่งของห้องนอน

ห้องนอนผู้สูงอายุควรเป็นห้องที่ง่ายต่อการเข้าถึง หากเป็นบ้านหลายชั้นควรจัดห้องนอนผู้สูงอายุไว้ชั้นล่างของบ้าน เพื่อหลีกเลี่ยงการเดินขึ้น-ลงบันได และลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุจากการพลัดตกบันได ห้องนอนผู้สูงอายุควรอยู่ติดกับห้องน้ำ หรือถ้าหากมีห้องน้ำอยู่ในตัวห้องนอนเลยก็จะดีมาก เพื่อความสะดวกของการใช้งาน

แสงสว่าง และสีสันที่เหมาะสม

ผู้สูงอายุมักมีสายตาที่พร่ามัว อาจทำให้การมองเห็นไม่ชัดเจนนัก การทาสีห้องโทนสีสว่างๆ เช่น ขาว ครีม เหลืองอ่อน เขียวอ่อน เป็นต้น จะทำให้แสงธรรมชาติที่ส่องเข้ามายังห้องสะท้อนความสว่างได้ดี ทำให้ห้องดูโปร่งโล่ง นอกจากนี้หลอดไฟที่นำมาใช้ ควรเป็นแสงนวลสบายตา ไม่สว่างจ้าเกินไป สวิตช์ไฟควรติดตั้งอยู่บริเวณใกล้เตียงนอน สามารถเอื้อมมือถึงอย่างสะดวก เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุจากการเดินไปเปิด-ปิดไฟยามดึก

อุปกรณ์ช่วยเหลือภายในห้องนอน

อุปกรณ์ช่วยเหลือภายในห้องเป็นสิ่งที่ควรออกแบบ และตระเตรียมให้พร้อม เพื่อช่วยให้ผู้สูงอายุสามารถทำกิจกรรมต่างๆ ภายในห้องได้อย่างสะดวกมากยิ่งขึ้น เช่น ราวจับเพื่อช่วยพยุงตัว ที่ต้องติดตั้งตามจุดต่างๆ ของห้องที่มักใช้งานบ่อยๆ ราวกันตกข้างเตียงเพื่อป้องกันอุบัติเหตุในการพลัดตกเตียง และยังสามารถช่วยพยุงตัว พลิกเปลี่ยนท่า หรือพยุงตัวเพื่อลุกนั่งหรือยืนได้เอง นอกจากนี้การเลือกใช้วัสดุภายในห้อง เช่น ลูกบิดประตู หรือหน้าต่าง ก็ควรเลือกใช้วัสดุที่สามารถบิดโยกได้ง่าย ดีไซน์เรียบ ใช้งานได้ไม่ลำบาก ส่วนใครกังวลว่าผู้สูงอายุอยู่ภายในห้องเพียงลำพัง แล้วต้องการเรียกหา หรือเกิดเหตุฉุกเฉินจะสื่อสารกันลำบาก ก็สามารถติดตั้งโทรศัพท์ภายในหรืออินเตอร์คอมเพื่อการสื่อสารที่สะดวกได้อีกทาง

เฟอร์นิเจอร์ที่ปลอดภัย

เฟอร์นิเจอร์ภายในห้องนอนผู้สูงอายุเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม ไม่ว่าจะเป็น เตียง โต๊ะ เก้าอี้ เป็นต้น เป็นไปได้ควรเลือกหาเฟอร์นิเจอร์ที่ไม่มีเหลี่ยมคม หรือหาอุปกรณ์กันกระแทกมาติดตั้งบริเวณจุดเหลี่ยมต่างๆ เพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุจากการเดินชน หรือล้มกระแทกได้ และเฟอร์นิเจอร์ที่ควรใส่ใจและไม่ควรมองข้ามเลยก็คือเตียงนอน เตียงที่เหมาะสมสำหรับผู้สูงอายุควรมีระดับความสูงที่เหมาะสมในระดับข้อพับเข่าของผู้สูงอายุ หากผู้สูงอายุในรายที่ขยับตัวเองได้ลำบาก ควรเลือกเตียงที่สามารถปรับระดับเพื่อช่วยพยุงตัวปรับท่านั่ง ท่านอนได้ ก็จะช่วยให้สะดวกมากยิ่งขึ้น

ห้องน้ำจุดเสี่ยงของความปลอดภัย

ห้องน้ำผู้สูงอายุควรออกแบบพื้นให้อยู่ในระดับเดียวกับพื้นด้านนอก หรือระดับต่างกันเล็กน้อย ไม่ควรมีธรณีประตู เพื่อป้องกันการเดินสะดุดล้ม พื้นห้องน้ำควรเลือกใช้วัสดุที่มีความหยาบ ไม่มันวาว เพื่อป้องกันการลื่นล้ม  ผนังกับพื้นของห้องน้ำควรใช้เฉดสีที่มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ผนังห้องน้ำควรติดตั้งราวเพื่อช่วยพยุงตัวลุกขึ้นยืนจากโถสุขภัณฑ์ หรือราวริมผนังเพื่อช่วยพยุงตัวเวลาเดิน ภายในห้องน้ำควรมีเก้าอี้สำหรับนั่งอาบน้ำ เพื่อช่วยให้ผู้สูงอายุสามารถนั่งอาบน้ำได้โดยไม่ต้องยืนนาน ซึ่งเก้าอี้อาบน้ำควรหลีกเลี่ยงการใช้เก้าอี้พลาสติก ควรเป็นเก้าอี้ที่มีความแข็งแรง ขาเก้าอี้ควรมีความฝืด เพื่อป้องกันการลื่นไถลนั่นเอง

นอกจากไอเดียเหล่านี้ที่ อารียา พรอพเพอร์ตี้ นำเสนอไปแล้ว คุณสามารถสามารถสังเกตพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันของผู้สูงอายุที่บ้าน เพื่อติดตั้ง และจัดหาอุปกรณ์เสริมความสะดวก และความปลอดภัยเพิ่มเติมได้เอง เชื่อว่าจะช่วยทำให้ผู้ส่งอายุมีความสุขที่สามารถใช้ชีวิตแบบช่วยเหลือตัวเองได้ และมีความปลอดภัยอยู่กับครอบครัวที่รักไปอีกนานค่ะ

เคล็ดลับแต่งบ้านตามหลักฮวงจุ้ย อยู่แล้วรวยทรัพย์

เคล็ดลับแต่งบ้านตามหลักฮวงจุ้ย อยู่แล้วรวยทรัพย์

ฮวงจุ้ย เป็นศาสตร์แขนงหนึ่งในคติของชาวจีนที่นิยมนำมาใช้ร่วมกับศาสตร์ของงานสถาปัตยกรรม หรือการสร้างบ้านและการออกแบบ ที่จะช่วยปรับโครงสร้าง การจัดวางสิ่งของต่างๆ ภายในบ้านให้อยู่ในที่ที่เหมาะสม ซึ่งจะส่งผลให้ผู้อยู่อาศัยมีสุขภาพที่แข็งแรง มีความเป็นสิริมงคล เงินทองไหลมาเทมา และเจริญรุ่งเรืองยิ่งๆ ขึ้นไป

บทความนี้ อารียา พรอพเพอร์ตี้ ขอนำเสนอ 7 เคล็ดลับดีๆ เกี่ยวกับการแต่งบ้านตามหลักฮวงจุ้ย ที่พูดได้ว่าถ้าตกแต่งตามนี้ ความร่ำรวยทรัพย์ เงินทอง และโชคลาภ จะรอคอยอยู่หน้ารั้วบ้านอย่างแน่นอน มาดูกันว่ามีเคล็ดลับอะไรกันบ้าง

1.ปลูกต้นไม้เสริมทรัพย์

การปลูกต้นไม้บริเวณทางเข้าบ้านให้มีความเขียวชอุ่ม สดชื่น อุดมไปด้วยแมกไม้นานาพรรณ นอกจากให้ความสดชื่นแก่ผู้อยู่อาศัย และแขกที่มาเยี่ยมเยือนแล้ว ในหลักของฮวงจุ้ยยังเป็นตัวกระตุ้นทรัพย์ ทั้งดอกและผล จะส่งผลดีต่อเรื่องการงาน การเงิน ความรัก สุขภาพ และโชคลาภด้วย

2. ประตูบ้านนำทางโชคลาภ

ประตูบ้านตามหลักฮวงจุ้ยถือเป็นทางที่เชื่อมโยงเรื่องการเงินของผู้อยู่อาศัยให้มีพลังงานไหลเวียนที่ดี การเลือกประตูบ้านให้มีความโดดเด่นดึงดูดสายตา ลักษณะของการเปิดบานประตู ควรเป็นการเปิดเข้าตัวบ้านเพื่อรับโชคลาภเข้ามา หมั่นทำความสะอาดซ่อมแซมประตูให้ดูใหม่อยู่เสมอ เพื่อเปิดรับพลังงานดีๆ เข้ามาหมุนเวียนในตัวบ้าน

3. ติดภาพบนผนังเสริมความเป็นสิริมงคล

การติดภาพที่ผนังห้องตามตำราของหลักฮวงจุ้ยแล้ว เหมาะกับการตกแต่งห้องต่างๆ ภายในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นห้องรับแขก ห้องนอน ห้องทำงาน ห้องอาหาร รวมไปถึงห้องน้ำ ซึ่งภาพที่ควรนำมาติดผนังเพื่อเสริมความเป็นสิริมงคลตามหลักฮวงจุ้ย ควรเป็นภาพที่สื่อถึงความหมายที่ดี มีความเจริญงอกงาม ยกตัวอย่าง เช่น

  • ห้องรับแขก เป็นห้องที่อยู่ด้านหน้าสุดของบ้าน ควรเลือกภาพที่ผู้มาเยือนมองเห็นแล้วทำให้รู้สึกผ่อนคลาย เช่น ภาพวิวทิวทัศน์ ภาพพระอาทิตย์ทอแสงยามเช้า ภาพทะเลที่มองเห็นเส้นขอบฟ้าอันแสนสงบ ภาพน้ำตกในแมกไม้เขียวชอุ่ม เป็นต้น
  • ห้องทำงาน ควรติดภาพภูเขาไว้ด้านหลังของโต๊ะทำงาน เพื่อดึงดูดพลังความยิ่งใหญ่ ทำให้หน้าที่การงาน และธุรกิจมั่นคงดุจดั่งขุนเขา
  • ห้องนอน ห้องนอนควรใช้ภาพตกแต่งผนังที่มีความนุ่มนวล สื่อถึงความรักและความอบอุ่น ซึ่งสามารถใช้ภาพดอกไม้ และสวนดอกไม้ หรือภาพอื่นๆ ที่สื่อถึงความรักก็ได้เช่นกัน
  • ห้องอาหาร เปรียบได้ว่าเป็นห้องสำหรับช่วงเวลาพักผ่อน การมองอะไรที่ดูแล้วผ่อนคลาย ก็จะทำให้สุขภาพในการกิน และสุภาพกายดีไปด้วย ภาพที่ควรใช้ เช่น ภาพวิว ต้นไม้ หรือผลไม้นานาชนิด เป็นต้น

4. จัดระเบียบห้องครัวดึงดูดเงินทอง

ในหลักของฮวงจุ้ยแล้ว ในส่วนของห้องครัวจะมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องการเงินโดยตรง ห้องครัวที่ดีควรมีการจัดระเบียบให้มีความเรียบร้อย เป็นสัดส่วน อุปกรณ์มีการจัดวางที่เรียบร้อย สามารถหยิบจับใช้งานได้อย่างสะดวก รวมไปถึงตู้เย็น ข้าวของภายในควรมีการจัดระเบียบให้ดูสะอาดตา หมั่นทำความสะอาดเก็บของที่เน่าเสีย หรือหมดอายุทิ้ง ล้างทำความสะอาดครัวทุกครั้งหลังใช้ เพียงเท่านี้ห้องครัวก็พร้อมรับพลังดีๆ เกี่ยวกับเงินทองได้

5.ติดไฟใต้ท้องบันไดเสริมมงคล

สำหรับบ้านไหนที่มีหลายชั้น และมีบันไปเดินเชื่อมขึ้นไปยังชั้นต่างๆ ส่วนของท้องบันไดตามหลักของฮวงจุ้ย เปรียบเสมือนเป็นท้องของมังกร ควรเสริมไฟ 3 ดวงเล็ก หากบันไดมีความยาว หรือติดโคมไฟ 1 ดวง สำหรับบันไดสั้นๆ เพื่อเสริมพลังในเรื่องของการเงิน การงาน และความรักนั่นเอง

6. ห้องน้ำเสริมบารมี

พื้นที่ของห้องน้ำในบ้านเปรียบเหมือนจุดรวมพลังงานด้านลบ แต่ก็สามารถปรับแก้ให้อยู่ในตำแหน่งที่ดี ก็จะช่วยส่งเสริมให้สมาชิกในครอบครัวมีสุขภาพแข็งแรง แถมยังดึงดูดพลังทรัพย์ได้อีกด้วย ซึ่งห้องน้ำที่ดีควรใช้สีของธาตุไม้ หรือสีเอิร์ธโทน เช่น ขาว เขียว น้ำตาล เป็นต้น เพราะเชื่อว่าสามารถดูดซับพลังงานที่รั่้วไหลได้ ภายในห้องน้ำควรเพิ่มหน้าต่าง ช่องระบายอากาศ หรือพัดลมดูดอากาศ เพื่อให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก นอกจากนี้หากนำต้นไม้กระถางประเภทที่ช่วยสามารถดูดกลิ่น และฟอกอากาศได้มาตั้งไว้ภายใน นอกจะสร้างบรรยากาศผ่อนคลายให้กับห้องน้ำแล้ว ก็จะช่วยลดพลังงานไม่ดีไปได้ด้วยเช่นกัน

7. หลังบ้านจุดเก็บทรัพย์

หลังบ้านตามหลักฮวงจุ้ยแล้วเป็นจุดเก็บทรัพย์ ควรจัดสรรพื้นที่ให้โล่ง ดูสะอาดตา ไม่วางของเกะกะ ถ้าเหลือพื้นที่มากพอ จะทำเป็นสวนเล็กๆ ก็ดีไม่น้อย หากปลูกต้นไม้ห้ามปล่อยให้รก ควรหมั่นดูแลให้โปร่งโล่ง ดูมีชีวิตชีวาอยู่เสมอ

การตกแต่งบ้านตามหลักฮวงจุ้ยที่กล่าวมานี้เป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยปรับเสริมดวงของคุณ และคนในบ้านให้ดึงดูดพลังด้านบวกเข้ามาในชีวิต หากลองนำไปปรับใช้แล้ว เชื่อว่าจะสามารถช่วยทั้งสุขภาพร่างกาย การเงิน การงาน และความรักของผู้อยู่อาศัยให้เป็นไปในทางที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน