เช็กลิสต์ บ้านมินิมอล ต้องมีอะไรบ้าง

เช็กลิสต์ บ้านมินิมอล ต้องมีอะไรบ้าง

บ้านสไตล์มินิมอล (Minimal) เป็นสไตล์ที่นิยมสำหรับคนยุคนี้ ด้วยการตกแต่งบ้านแบบเรียบง่าย สบายตา แต่ดูมีอะไรและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว มาจากคำที่ว่า “น้อยแต่มาก” หรือ “Less is More” เน้นสไตล์การแต่งบ้านที่ดูเรียบ สีที่ใช้ในการแตกแต่งบ้านสไตล์มินิมอล มักใช้โทนสีขาว หรือโมโนโทนที่ดูสะอาดตา ส่วนการเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ เน้นใช้ของตกแต่งน้อยชิ้นเท่าที่จำเป็น ส่วนพื้นที่ใช้สอยของบ้านสไตล์มินิมอลนิยมเหลือพื้นที่ไว้มากๆ เพื่อให้ดูโล่งกว้าง ทำให้สิ่งของรอบตัวเหลือน้อยลง แต่มากไปด้วยความหมายในตัวเอง

สำหรับใครที่กำลังมองหาบ้านในสไตล์มินิมอล หรืออยากจะปรับแต่งบ้านที่อยู่ปัจจุบันให้กลายเป็นบ้านในสไตล์มินิมอลนั้นไม่ยากเลย เพียงปรับแต่งสไตล์ตามรูปแบบของบ้านมินิมอล ซึ่งจะมีอะไรบ้างตามมาดูกันเลย

ดีไซน์การออกแบบบ้าน

การเป็นบ้านสไตล์มินิมอลมองภายนอกจะมีความโดดเด่นที่โทนสีของตัวบ้าน ที่เน้นใช้สีโมโนโทน หรือสีอ่อนๆ อย่างสีขาวที่เป็นสีคลาสสิก และเป็นสีพื้นฐานของบ้านสไตล์มินิมอล และมักใช้สีเอิร์ธโทน อย่างสีน้ำตาล สีแทน เป็นสีรอง ซึ่งโดยทั่วไปมักใช้วัสดุที่เป็นไม้ หรือวัสดุเทียบเคียงมาใช้ตกแต่ง เพิ่มความมินิมอลให้ดูกลมกลืนใกล้ชิดธรรมชาติ และโดดเด่นมีมิติได้เป็นอย่างดี

ส่วนการออกแบบห้องต่างๆ ภายในบ้านควรคิดเผื่อการจัดวางระบบการเก็บของเพื่อความเป็นระเบียบ ซึ่งการออกแบบบ้านในสไตล์มินิมอลมักออกแบบห้องให้กลมกลืนกับอาคาร หรือเครื่องเรือนอย่างลงตัว ยกตัวอย่างเช่น การออกแบบผนัง พื้นที่ใต้บันได หรือโซนมุมต่างๆ ให้สามารถซ่อนตู้ หรือลิ้นชักเก็บของได้อย่างกลมกลืนไปกับตัวบ้าน เป็นต้น

เฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้น หรือเท่าที่จำเป็น

การตกแต่งบ้านในสไตล์มินิมอลที่สำคัญเลย คือการจัดสรรพื้นที่ภายในบ้านให้ดูดีมีสไตล์ตามแนวคิด “Less is More” เพราะฉะนั้นการเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์จึงเน้นการตกแต่งเท่าที่จำเป็น หรือสำคัญต่อการใช้ชีวิตจริงๆ ยกตัวอย่างเช่น ห้องรับแขก ควรมีเพียงเฟอร์นิเจอร์ที่จำเป็นอย่างโซฟายาวสักตัว โต๊ะกลาง ชั้นวางแบบมินิมอล ทีวีติดผนังสักเครื่อง ส่วนห้องนอนอาจจะเน้นเตียงที่ดูเรียบง่าย กระจกยาวแขวนผนัง ตู้เสื้อผ้าบิลต์อินสไตล์เรียบๆ กลมกลืนกับตัวห้อง โต๊ะข้างเตียงเล็กๆ ไว้วางหนังสือ เป็นต้น จากที่ยกตัวอย่างมาเป็นเฟอร์นิเจอร์ที่เพียงพอต่อการใช้สอยจำเป็น เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์แบบเรียบง่าย ไม่มาก และไม่น้อยในแบบของความเป็นมินิมอลได้อย่างชัดเจน

การจัดวางข้าวของภายในบ้าน

นอกจากการตกแต่งบ้านด้วยเฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้นแล้ว การวางสิ่งของบนเฟอร์นิเจอร์เหล่านั้นก็ส่งผลถึงความเป็นบ้านในสไตล์มินิมอลด้วย โดยการตกแต่งบ้านสไตล์มินิมอลจะเน้นพื้นผิวที่วางของให้ดูสะอาด และเรียบร้อย เพราะฉะนั้นตามโต๊ะ หรือชั้นวางของต่างๆ มักจะมีการวางของที่น้อย อย่างมากเพียงแค่ 1-2 อย่างเท่านั้น หากมีข้าวของจุกจิก ชิ้นเล็กชิ้นน้อย ควรหาพื้นที่จัดเก็บให้หลบสายตาอย่างเป็นสัดส่วนไม่ปล่อยวางรก ถ้าเป็นพวกหนังสือ ก็ต้องจัดวางให้เป็นระเบียบ เพื่อเน้นความสบายตาเป็นหลัก

ช่องแสงและหน้าต่าง

การแต่งบ้านสไตล์มินิมอลมักเน้นพื้นที่โล่งกว้าง ดูโปร่งสบายไม่อึดอัด ดังนั้นเรื่องของแสงที่จะเข้ามาสู่ตัวบ้านได้อย่างทั่วถึง จะช่วยทำให้บ้านได้รับความสว่างอย่างเหมาะสม ทั้งนี้ยังทำให้บ้านไม่อับชื้น การออกแบบบ้านจึงควรมีประตูและหน้าต่างในจำนวนที่พอเหมาะให้อากาศได้ถ่ายเทอย่างสะดวก รวมถึงช่องรับแสงที่เพียงพอ ซึ่งอาจใช้กระจกโปร่งแสงเพื่อเพิ่มความสว่างให้กับตัวบ้านก็สามารถทำได้เช่นกัน

นอกจากนี้ การเลือกใช้ผ้าม่านในกรณีที่ต้องการลดอุณหภูมิความร้อนที่เข้ามาสู่ตัวบ้าน การเลือกผ้าม่านในสไตล์บ้านมินิมอลมักเลือกผ้าม่านสีอ่อน หรือผ้าโปร่งสีขาวคู่กับผ้าม่านสีทึบ หรือจะเลือกติดผ้าม่านแบบไม้สไตล์ญี่ปุ่น เพื่อสร้างบรรยากาศให้ดูเป็นธรรมชาติก็เป็นตัวเลือกที่ดี

สำหรับไอเดียการแต่งบ้านในสไตล์มินิมอล “น้อยแต่มาก” ที่แนะนำไปข้างต้นนี้ สามารถนำไปปรับใช้ และตกแต่งบ้านของคุณเองได้ไม่ยาก แต่ถ้าใครกำลังมองหาบ้านใหม่ในสไตล์มินิมอล ขอแนะนำโครงการบ้าน Areeya The Minimal Series บ้านมินิมอล 3 สไตล์ ด้วยดีไซน์ที่สวยที่สุดจากอารียา

  • โซนบางนา

COMO BIANCA II บ้านเดี่ยวสไตล์ Minimal Eco Living
NORA ทาวน์โฮมสไตล์ Minimal Cozy
และเตรียมพบกับ AREN X บ้านเดี่ยวสไตล์ Modern Minimal พร้อมสระว่ายน้ำส่วนตัว*

  • โซนชัยพฤกษ์-วงแหวนฯ

NORA ทาวน์โฮมสไตล์ Minimal Cozy

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด

ปรับฮวงจุ้ยบ้านปั๊บ ชีวิตเปลี่ยน

ปรับฮวงจุ้ยบ้านปั๊บ ชีวิตเปลี่ยน

เชื่อหรือไม่! การตกแต่งบ้านตามหลักฮวงจุ้ย จะช่วยทำให้ชีวิตของคุณเปลี่ยนแปลงได้ อารียา พรอพเพอร์ตี้ ขอนำเสนอการตกแต่งบ้านตามหลักฮวงจุ้ยแบบง่ายๆ ที่คุณสามารถปรับแต่งได้ในทันที มาดูกันว่าการตกแต่ง และจัดวางเฟอร์นิเจอร์ภายในบ้านให้ถูกหลักฮวงจุ้ยทำอย่างไรได้บ้าง

ห้องรับแขก

ห้องรับแขกส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นบ้านหรือคอนโด แปลนบ้านทั่วไปจะถูกจัดให้อยู่ส่วนหน้าของบ้าน เพื่อต้อนรับผู้มาเยือนได้อย่างสะดวก การจัดห้องรับแขกตามหลักฮวงจุ้ย จึงควรทำให้ห้องมีอากาศถ่ายเทได้ดี มีแสงสว่างที่พอเหมาะ ไม่อับทึบ เพื่อทำให้ผู้มาเยือนรู้สึกผ่อนคลาย ทั้งนี้เฟอร์นิเจอร์ที่ใช้ตกแต่งห้องรับแขก ควรเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ที่ออกแบบในลักษณะโปร่ง ไม่หนักหรือทึบเกินไป โซฟาควรมีพนักพิง และขาลอยจากพื้นห้อง ซึ่งจะช่วยให้อากาศไหลเวียนใต้โซฟาได้ด้วย รวมถึงการทำความสะอาดเช็ดถูก็จะทำได้อย่างสะดวก

ข้อควรหลีกเลี่ยง

  • เลี่ยงการจัดโซฟารูปตัวแอล แต่ควรวางโซฟาให้หันเข้าหากัน เพราะจะช่วยให้พลังงานบวกไหลเวียนได้ราบรื่นขึ้น แถมสมาชิกภายในบ้านยังมีความรักและกลมเกลียวกันมากขึ้น
  • เลี่ยงการนำของประดับจำพวกเขาสัตว์หรือของมีคมต่างๆ มาประดับภายในห้อง เพราะสิ่งเหล่านี้จะส่งผลต่อสมาชิกในบ้าน ทำให้เกิดอารมณ์โมโหเกรี้ยวกราดได้ง่ายขึ้น

ห้องนอน

ห้องนอนถือเป็นห้องที่เป็นแหล่งรวมพลังที่ส่งผลต่อคุณภาพการนอน และสุขภาพของผู้อาศัยเป็นอย่างมาก การจัดวางเฟอร์นิเจอร์ และตกแต่งห้องนอนตามหลักฮวงจุ้ย คงหนีไม่พ้นเรื่องตำแหน่งของการวางเตียงที่เหมาะสม ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่สมดุลได้ เพราะตำแหน่งเตียงจะส่งเสริมการไหลของพลังงาน ทำให้มีโชคลาภ ความเจริญก้าวหน้า ตามหลักฮวงจุ้ยสามารถหันหัวเตียงได้ทุกทิศทาง เพียงแค่จัดตำแหน่งให้หลบทิศทางของประตู ตามหลักฮวงจุ้ยการจัดวางเตียงแต่ละทิศจะมีความหมายดังนี้

  • หันหน้าเตียงทางทิศเหนือ ช่วยพัฒนาสติปัญญา การเรียนรู้ที่เกิดขึ้นโดยสัญชาตญาณ
  • หันหน้าเตียงทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ช่วยเรื่องการงาน ความสัมพันธ์กับผู้คน การค้นพบ การทดลองใหม่ๆ
  • หันหน้าเตียงทางทิศตะวันออก จะทำให้นอนหลับด้วยความสงบ
  • หันหน้าเตียงทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ จะมีความพยายาม พากเพียรในการงาน
  • หันหน้าเตียงทางทิศใต้ ช่วยส่งเสริมชื่อเสียง มีความเป็นที่นับหน้าถือตา ได้รับเกียรติยศ
  • หันหน้าเตียงทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ สนับสนุนดวงความรัก และคู่ครอง
  • หันหน้าเตียงทางทิศตะวันตก ลูกหลานจะเป็นคนดี เชื่อฟังง่าย
  • หันหน้าเตียงทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ จะเป็นที่รักใคร่ของเพื่อนฝูง มีมิตรมากมาย

ข้อควรหลีกเลี่ยง

  • ไม่วางเตียงบังช่องทิศทางของประตู ควรปล่อยให้เป็นทางโล่ง เพื่อถ่ายเทพลังงานที่ไม่ดีออกไป การวางเตียงขวางทิศทางของประตู อาจดูดซับพลังงานไม่ดี ทำให้ขัดโชคลาภ รวมถึงส่งผลกระทบต่อสุขภาพอีกด้วย

ห้องทำงาน

การจัดมุมทำงานเรื่องหลักๆ นั้นอยู่ที่การจัดวางตำแหน่งของโต๊ะทำงานเป็นสำคัญที่จะมีส่วนช่วยให้ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานตามหลักของฮวงจุ้ย โดยโต๊ะทำงานควรตั้งหันหน้าไปในทิศทางตามธาตุของแต่ละคน ได้แก่

  • คนธาตุไม้ ควรนั่งหันหน้าไปทางทิศตะวันออก
  • คนธาตุไฟ ควรนั่งหันหน้าไปทางทิศใต้
  • คนธาตุดิน ควรนั่งหันหน้าไปทางทิศตกเฉียงใต้ หรือ ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
  • คนธาตุทอง ควรนั่งหันหน้าไปทางทิศตะวันตก
  • คนธาตุน้ำ ควรนั่งหันหน้าไปทางทิศใต้ ทิศตะวันตกเฉียงใต้ และทิศตะวันตก

หมายเหตุ: การแบ่งแยกธาตุตามโหราศาสตร์จีนได้แยกไว้ 5 ธาตุ ได้แก่ ดิน, ทอง, น้ำ, ไม้ และไฟ โดยสามารถจำแนกตามธาตุประจำปี (12 นักษัตร) ได้ดังนี้

  • ปีชวด = ปี 2503 (หนูทอง), ปี 2515 (หนูน้ำ), ปี 2527 (หนูไม้), ปี 2539 (หนูไฟ), ปี 2551 (หนูดิน)
  • ปีฉลู = ปี 2504 (วัวทอง), ปี 2516 (วัวน้ำ), ปี 2528 (วัวไม้), ปี 2540 (วัวไฟ), ปี 2552 (วัวดิน)
  • ปีขาล = ปี 2505 (เสือน้ำ), ปี 2517 (เสือไม้), ปี 2529 (เสือไฟ), ปี 2541 (เสือดิน), ปี 2553 (เสือทอง)
  • ปีเถาะ = ปี 2506 (กระต่ายน้ำ), ปี 2518 (กระต่ายไม้), ปี 2530 (กระต่ายไฟ), ปี 2542 (กระต่ายดิน), ปี 2554 (กระต่ายทอง)
  • ปีมะโรง = ปี 2507 (มังกรไม้), ปี 2519 (มังกรไฟ), ปี 2531 (มังกรดิน), ปี 2543 (มังกรทอง), ปี 2555 (มังกรน้ำ)
  • ปีมะเส็ง = ปี 2508 (งูไม้), ปี 2520 (งูไฟ), ปี 2532 (งูดิน), ปี 2544 (งูทอง), ปี2556 (งูน้ำ)
  • ปีมะเมีย = ปี 2509 (ม้าไฟ), ปี 2521 (ม้าดิน), ปี 2533 (ม้าทอง), ปี 2545 (ม้าน้ำ), ปี 2557 (ม้าไม้)
  • ปีมะแม = ปี 2510 (แพะไฟ), ปี 2522 (แพะดิน), ปี 2534 (แพะทอง), ปี 2546 (แพะน้ำ), ปี 2558 (แพะไม้)
  • ปีวอก = ปี 2511 (ลิงดิน), ปี 2523 (ลิงทอง), ปี 2535 (ลิงน้ำ), ปี 2547 (ลิงไม้), ปี 2559 (ลิงไฟ)
  • ปีระกา = ปี 2512 (ไก่ดิน), ปี 2524 (ไก่ทอง), ปี 2536 (ไก่น้ำ), ปี 2548 (ไก่ไม้), ปี 2560 (ไก่ไฟ)
  • ปีจอ = ปี 2513 (หมาทอง), ปี 2525 (หมาน้ำ), ปี 2537 (หมาไม้), ปี 2549 (หมาไฟ), ปี 2561 (หมาดิน)
  • ปีกุน = ปี 2514 (หมูทอง), ปี 2526 (หมูน้ำ), ปี 2538 (หมูไม้), ปี 2550 (หมูไฟ), ปี 2562 (หมูดิน)

นอกจากนี้ควรรักษาความสะอาดของโต๊ะทำงานอยู่เสมอ การวางสิ่งของบนโต๊ะควรวางสิ่งของที่ใช้เป็นประจำไว้ทางซ้ายมือ ส่วนของแต่งห้องหรือกรอบรูป ให้ย้ายมาอยู่ทางฝั่งขวาแทน เพื่อเป็นกำลังใจที่ดีในเวลาที่นั่งทำงานเครียดๆ

ข้อควรหลีกเลี่ยง

ห้ามจัดโต๊ะหันตรงกับประตู หรือตรงข้ามประตู เพราะเชื่อว่าจะทำให้โชคลาภเงินทอง รวมถึงบารมีไหลออกนอกห้องไป

ห้องครัว

เรื่องปากท้องเป็นเรื่องสำคัญ นอกจากการทำอาหารแล้ว การจัดระเบียบของครัวให้สะอาด สวยงามเป็นไปตามหลักฮวงจุ้ยก็จะช่วยส่งเสริมเรื่องพลังงานดี โชคลาภ ครอบครัว และสุขภาพได้อีกด้วย ซึ่งการตกแต่งห้องครัวควรทำให้ครัวสามารถเปิดรับแสงธรรมชาติ นอกจากความปลอดโปร่ง การมองหาข้าวของได้อย่างชัดเจน และไม่ทำให้มุมต่างๆ อับชื้น แล้ว ตามหลักฮวงจุ้ยการมีหน้าต่างเปิดรับแสงเข้ามายังห้องครัว ไม่ว่าจะด้วยแสงไฟธรรมชาติ หรือแสงจากหลอดไฟที่ช่วยส่องแสงสว่างล้วนส่งผลดีทั้งนั้น

ข้อควรหลีกเลี่ยง

  • น้ำไม่ควรใกล้ไฟ เตาไฟไม่ควรวางติดกับก๊อกน้ำ เพราะจะเป็นการรวมธาตุน้ำและไฟ รวมถึงความขัดแย้งมาไว้รวมกัน ก่อให้เกิดพลังงานที่ขัดแย้ง ซึ่งจะส่งผลต่อความกลมเกลียว การทะเลาะเบาะแว้ง หรือเกี้ยวกราดของสมาชิกในบ้านได้ง่าย
  • ไม่ควรวางเตาไว้กลางห้อง ในทางฮวงจุ้ยไม่ใช่ตำแหน่งที่ดีนัก เพราะจะส่งผลต่อการไหลเวียนพลังงาน ส่วนด้านการใช้งานจะทำให้น้ำมันกระเด็น และกลิ่นอาหารฟุ้งกระจายง่าย ทางที่ดีควรอยู่ติดผนังทึบที่มีการปูวัสดุที่สามารถเช็ดถูคราบสกปรกออกได้ง่าย

การปรับตำแหน่งและการจัดวางเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ภายในบริเวณบ้านตามหลักฮวงจุ้ยนั้นทำได้ง่ายๆ แต่สามารถปรับดวงชะตาและโชคลาภได้อย่างเห็นผล การเลือกบ้านที่สามารถปรับแต่งห้องต่างๆ ได้อย่างอิสระตามความต้องการถือเป็นการตอบโจทย์การใช้ชีวิตที่ดีตามหลักฮวงจุ้ย หากใครกำลังมองหาบ้านที่ทำให้คุณสามารถตกแต่งบ้านได้ตามความชอบ อารียาขอเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ช่วยตอบโจทย์การใช้ชีวิตในสไตล์ของคุณ แวะเข้ามาดูโครงการบ้านจากอารียาเพิ่มเติมได้ ที่นี่

ขอบคุณจากข้อมูลจาก

www.hafelethailand.com

www.nb-furniture.com

www.facebook.com/SinSaeHwang

เงินเดือน 15,000 กู้ซื้อบ้านเป็นล้านได้ผ่านฉลุย!! | เช็กความพร้อม 5 ขั้นตอนง่ายๆ

เงินเดือน 15,000 กู้ซื้อบ้านเป็นล้านได้ผ่านฉลุย!! | เช็กความพร้อม 5 ขั้นตอนง่ายๆ

เงินเดือน 15,000 บาท ซื้อบ้านได้ไหม คำถามยอดฮิตของกลุ่มคนเริ่มต้นทำงาน (First Jobber) ที่กำลังอยากกู้ซื้อบ้านสักหลัง เพื่อขยับขยายจากที่อยู่อาศัยเดิม หรือวางแผนเพื่อสร้างครอบครัวในอนาคต แต่มีปัจจัยสำคัญหลายอย่างที่ทำให้เกิดความไม่มั่นใจต่อการขอสินเชื่อบ้าน ทั้งรายได้ ราคาบ้าน ตลอดจนความสามารถในการผ่อนบ้านของตนเอง อารียาจึงมี 5 ขั้นตอนง่ายๆ ที่ช่วยเช็กความพร้อมของคนเงินเดือน 15,000 ให้มั่นใจว่าคุณมีบ้านในฝันได้อย่างแน่นอน

5 ขั้นตอน เตรียมความพร้อมก่อนซื้อบ้าน

   1. ประเมินความสามารถทางการเงินของตัวเอง

ก่อนจะกู้ซื้อบ้านเราควรเช็กความพร้อมทางการเงินของตัวเองให้ดีเสียก่อน เนื่องจากโดยทั่วไปแล้วทางสถาบันการเงินจะพิจารณาปล่อยสินเชื่อบ้านให้ไม่เกิน 40% ของรายได้ต่อเดือน ภายหลังจากหักภาระหนี้สินที่อยู่ระหว่างการผ่อนชำระเรียบร้อยแล้ว โดยมีสูตรการคำนวณเบื้องต้น ดังนี้

เงินเดือน x 40% = จำนวนเงินสูงสุดที่สามารถผ่อนได้ต่อเดือน

ยกตัวอย่างเช่น นางสาว A มีรายได้ประจำเดือนละ 15,000 บาท สามารถผ่อนบ้านได้สูงสุดเดือนละ 15,000×40% = 6,000 บาท

แต่หากนางสาว A มีภาระหนี้สินที่อยู่ระหว่างการผ่อนชำระต่อเดือน จำนวน 1,000 บาท นั่นหมายความว่า นางสาว A จะมีความสามารถในการผ่อนบ้านได้สูงสุดเดือนละ 6,000-1,000 = 5,000 บาท เท่านั้น

คำถามต่อมา หากเรามีความสามารถในการผ่อนบ้านเดือนละ 6,000 บาท แล้วเราจะสามารถกู้บ้านได้ในวงเงินสูงสุดเท่าไหร่ โดยสามารถใช้สูตรคำนวณเบื้องต้น ดังนี้

(จำนวนเงินสูงสุดที่สามารถผ่อนได้ต่อเดือน x 1,000,000) ÷ 7,000 = วงเงินกู้สินเชื่อบ้านสูงสุด

ยกตัวอย่างเช่น นางสาว A มีความสามารถในการผ่อนบ้านได้สูงสุดเดือนละ 6,000 บาท จะสามารถขอวงเงินกู้สินเชื่อได้สูงสุด (6,000 x 1,000,000) ÷ 7,000 = 857,143 บาท*

*หมายเหตุ: ประมาณการวงเงินกู้เบื้องต้นด้วยอัตราผ่อน 7,000 บาท ต่อวงเงินกู้ 1 ล้านบาท

   2. ร่วมกันเราอยู่ ชวนคน (ในบ้าน) มากู้ร่วม

เมื่อพิจารณาจากขั้นตอนที่ 1 หากคุณเข้าเกณฑ์เป็นผู้มีรายได้ต่อเดือน 15,000 บาท และไม่มีภาระหนี้ที่อยู่ระหว่างการผ่อนชำระใดๆ คุณจะสามารถผ่อนบ้านได้สูงสุดเดือนละ 6,000 บาท และวงเงินที่สถาบันการเงินจะอนุมัติสินเชื่อบ้านอยู่ที่ประมาณ 857,143 บาท แต่โครงการบ้าน หรือแบบบ้านในฝันของคุณ ราคามากกว่า 2 ล้าน นั่นหมายความว่าคุณหมดหวังกับบ้านในฝันหลังนั้นใช่ไหม คำตอบคือ คุณยังมีหวัง!! เพียงหาบุคคลในครอบครัว เช่น บิดา มารดา พี่น้อง สามีภรรยา ที่มีอาชีพและรายได้มั่นคงมาช่วยสานฝันของคุณให้เป็นจริง

ยกตัวอย่างเช่น นางสาว A มีรายได้ต่อเดือน 15,000 บาท ทำการกู้ร่วมกับพี่ชาย นาย B ที่มีรายได้ต่อเดือนหลังจากหักภาระหนี้ที่อยู่ระหว่างการผ่อนชำระ 20,000 บาท เมื่อนำรายได้ของนางสาว A และนาย B มารวมกันจะมีรายได้ต่อเดือนอยู่ที่เดือนละ 35,000 บาท สามารถผ่อนบ้านได้สูงสุดเดือนละ 14,000 บาท ดังนั้นวงเงินกู้ที่ทางสถาบันการเงินจะอนุมัติให้สินเชื่อบ้านอยู่ที่ประมาณ 2,000,000 บาท

   3. ดาวน์ให้มาก ช่วยให้เบาได้เยอะ

การเก็บออมเงินจำนวนหนึ่ง เพื่อนำมาใช้เป็นเงินดาวน์ในการซื้อบ้าน ถือเป็นหนึ่งทางออกที่นอกจากจะทำให้คุณสามารถกู้ซื้อบ้านได้ในวงเงินที่มากขึ้นแล้ว ยังช่วยให้ภาระการผ่อนบ้านแต่ละเดือนเบาลงไปด้วย จากวงเงินกู้ 100% หากคุณมีเงินดาวน์ 30% นั่นหมายความว่าคุณจะยื่นขอสินเชื่อบ้านกับสถาบันการเงินเพียง 70% ของราคาบ้านเท่านั้น ส่งผลให้คุณสามารถเลือกซื้อบ้านที่แมตช์กับตัวเองหรือครอบครัวได้มากขึ้น และช่วยให้ค่าใช้จ่ายการผ่อนบ้านในแต่ละเดือนลดน้อยลง สามารถนำเงินไปเป็นค่าใช้จ่ายภายในบ้าน หรือเงินเก็บของครอบครัวได้เพิ่มขึ้น

   4. เคลียร์ให้หมด จบปัญหา ภาระหนี้

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่มีภาระหนี้ที่อยู่ระหว่างการผ่อนชำระ อารียาขอแนะนำว่าให้คุณรีบไปจัดการเคลียร์หนี้สินเหล่านั้นให้เป็น 0 หรือเหลือน้อยที่สุดก่อนการยื่นขอสินเชื่อบ้าน เพราะหนี้สินเหล่านั้นเป็นปัจจัยสำคัญที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ต่อการพิจารณาความสามารถทางการผ่อนชำระของผู้กู้ ซึ่งอาจส่งผลให้ผู้กู้ได้รับวงเงินสินเชื่อที่น้อยลง หรืออาจถูกทางสถาบันการเงินปฏิเสธการอนุมัติสินเชื่อบ้านก็เป็นได้

   5. เลือกบ้านที่โดนใจ

หลังจาก 4 ขั้นตอนที่ผ่านมา คราวนี้ก็ถึงเวลาเลือกบ้านในฝันให้เหมาะกับตัวคุณหรือครอบครัวกันแล้ว โดยการเลือกบ้านภายหลังจากที่รู้ขีดความสามารถทางการผ่อนชำระในแต่ละเดือนของตัวเองหรือครอบครัวเรียบร้อยแล้ว สิ่งที่ต้องพิจารณาลำดับถัดมามีดังต่อไปนี้

  • ทำเลการเดินทาง บ้านที่ดีต้องอยู่บนทำเลที่สะดวกสบายต่อทุกคนในครอบครัว สิ่งสำคัญคือควรมีสิ่งอำนวยความสะดวกรอบโครงการ เช่น ถนนสายหลัก ทางด่วน ห้างสรรพสินค้า โรงเรียน โรงพยาบาล เป็นต้น

  • เลือกประเภทของที่อยู่อาศัยให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของครอบครัว หากคุณเป็นครอบครัวใหญ่ที่ต้องการพื้นที่เพื่อรองรับการอยู่อาศัยของคนในครอบครัว ‘บ้านเดี่ยว’ เป็นตัวเลือกที่ตรงโจทย์มากที่สุด หรือหากคุณเป็นคู่รักที่อาจมีลูกน้อย 1-2 คน ‘บ้านแฝด’ ก็ถือเป็นตัวเลือกที่ยังคงสเปซกว้าง ในราคาที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น แต่ถ้าหากคุณเป็นคนรุ่นใหม่ที่อยากจะขยับขยายที่อยู่อาศัยจากคอนโดมิเนียมหรือที่อยู่อาศัยเดิม เพื่อรองรับชีวิตการอยู่อาศัยที่กว้างขึ้น สำหรับตัวคุณและคนรัก ‘ทาวน์โฮม’ (Townhome)  ถือเป็นตัวเลือกที่ลงตัว ในราคาที่จับต้องได้และอยู่บนทำเลใกล้เมือง

  • โครงการบ้านมีชื่อเสียง เชื่อถือได้ เพราะการซื้อบ้านเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องพิจารณาอย่างรอบด้าน เหมือนกับโครงการอารียา ผู้นำในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย ที่มุ่งสร้างความสุขที่ยั่งยืน และสร้างความแตกต่างอย่างโดดเด่น ทั้งในเรื่องการออกแบบ คุณภาพการก่อสร้าง และการบริการ เพื่อให้ลูกบ้าน ชุมชน และสังคม มีความเป็นอยู่ที่ดีและเปี่ยมสุข ด้วยแนวความคิด “สุนทรียะในการใช้ชีวิต” ( Aesthetic of Living) ลูกค้าทุกคนจึงมั่นใจได้ว่าบ้านอารียา คือบ้านที่ดีสำหรับวันนี้และอนาคต

หากคุณกำลังมองหาบ้านในฝันของครอบครัว ราคาบ้านเริ่มต้นต่ำกว่า 2 ล้านบาท และอยู่บนทำเลที่สะดวกสบายต่อการเดินทางเข้าและออกเมือง อารียามีโครงการบ้านดีๆ สำหรับครอบครัวคนรุ่นใหม่มาแนะนำกัน กับโครงการ THE COLORS (เดอะ คัลเลอร์ส) แบบบ้านสองชั้นในรูปแบบทาวน์โฮม ฟังก์ชันเทียบเท่าบ้านเดี่ยว เน้นสเปซกว้างตอบโจทย์ทุกแอคทิวิตี้ของทุกคนในครอบครัว ราคาบ้านเริ่มต้น 1.89 ล้าน* บน 5 ทำเลรอบเมือง ได้แก่

นอกจากนี้ บ้านอารียายังมีอีกหลากหลายโครงการ บนทำเลใกล้คุณ สามารถดูโครงการอารียาเพิ่มเติมได้ ที่นี่

อ่านมาถึงตรงนี้ทุกคนน่าจะได้คำตอบกันแล้วว่า เงินเดือน 15,000 ก็สามารถซื้อบ้านได้ เพียงคุณเช็กลิสต์ตัวเองตาม 5 ขั้นตอนข้างต้น บ้านในฝันก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด

ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก

ddproperty

โปะบ้านแบบไหนหมดไวและคุ้มค่า

 

การกู้ซื้อบ้าน เป็นหนี้ก้อนใหญ่ที่ต้องผ่อนชำระเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน โดยทางธนาคารจะกำหนดตารางการผ่อนชำระรวมดอกเบี้ยมาให้ตามระยะเวลาการกู้ แต่รู้หรือไม่ว่าถ้าผ่อนตามจำนวนที่ธนาคารกำหนดมาให้นั้น ดอกเบี้ยที่ต้องชำระทั้งหมดรวมกันแล้วเกือบเท่าหนึ่งของราคาบ้านเลยทีเดียว ทั้งนี้มีวิธีที่จะสามารถช่วยทำให้ดอกเบี้ยลดน้อยลงด้วย “3 วิธีโปะหนี้บ้าน” ซึ่งจะช่วยทำให้ดอกเบี้ยที่ต้องชำระลดลง รวมถึงระยะเวลาในการผ่อนก็จะสั้นลง ทำให้หนี้ที่ผ่อนชำระอยู่หมดไวก่อนกำหนดได้อีกด้วย มาดูกันว่าทั้ง 3 วิธีต้องทำอย่างไรบ้าง

1. โปะเงินต้น

การผ่อนชำระค่าบ้านจะเป็นการผ่อนแบบ “ลดต้นลดดอก” ยิ่งโปะจ่ายมากดอกก็จะยิ่งลดลงตามไปด้วย โดยการโปะเงินต้นเป็นการชำระค่าบ้านเกินกว่าที่ทางธนาคารกำหนด โดยจำนวนเงินที่จ่ายเกินจากจำนวนที่กำหนดนั้น จะถูกนำไปโปะในส่วนของเงินต้น ซึ่งจะส่งผลให้การคิดดอกเบี้ยในเดือนถัดไปลดน้อยลงกว่าเดิม โดยการโปะเงินต้นสามารถโปะชำระได้ 2 แบบ ได้แก่ การโปะจ่ายค่างวดให้มากขึ้นในทุกๆ เดือน และการจ่ายเป็นก้อนใหญ่ๆ ปีละ 1-2 ครั้งในช่วงที่มีรายได้จากโบนัส หรือเงินปันผล เป็นต้น

โดยยกตัวอย่างการโปะชำระ เช่น หากธนาคารกำหนดให้ผ่อนชำระเดือนละ 10,000 บาท แต่ชำระเพิ่มขึ้น 50% ในทุกๆ เดือน เป็นจำนวนเงิน 15,000 บาท ก็จะช่วยลดระยะเวลาการผ่อนบ้านได้เกือบครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว

2. รีไฟแนนซ์ หรือขอปรับลดอัตราดอกเบี้ย

การรีไฟแนนซ์ (Refinance) เป็นวิธีขอยื่นกู้กับธนาคารอื่นเพื่อลดอัตราเบี้ยจากเดิมที่เคยจ่ายอยู่ เนื่องจากการกู้บ้านโดยส่วนใหญ่แล้วจะมีโปรโมชั่นดอกเบี้ยต่ำ ในช่วง 3 ปีแรก หลังจากนั้นดอกเบี้ยจะเด้งสูงขึ้น หากทำการรีไฟแนนซ์กับธนาคารอื่นที่มีโปรโมชั่น โดยทำเรื่องยื่นกู้ใหม่ ก็จะช่วยทำให้ได้ดอกเบี้ยที่ถูกกว่าธนาคารเดิมนั่นเอง ส่วนอีกวิธีหนึ่งคือการขอปรับลดอัตราดอกเบี้ย (Retention) เป็นการลดอัตราดอกเบี้ยจากธนาคารเดิมที่ใช้บริการอยู่ ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนธนาคารใหม่ เพียงทำเรื่องยื่นขอลดดอกเบี้ยลงเท่านั้น ซึ่งดอกเบี้ยที่ขอลดอาจจะไม่ได้ต่ำลงเท่าการย้ายธนาคารใหม่ แต่ก็เป็นการลดดอกเบี้ยลงจากเดิมและไม่ยุ่งยากในการเตรียมเอกสารเพื่อขอยื่นกู้ใหม่นั่นเอง

3. ชำระหนี้ให้ตรงเวลา

การไม่ทำให้ต้องเสียดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นด้วยวิธีการชำระหนี้ให้ตรงเวลา นอกจากจะเป็นการรักษาเครดิตให้มีความน่าเชื่อถือแล้ว ในกรณีที่ต้องการรีไฟแนนซ์ หรือการยื่นขอปรับลดอัตราดอกเบี้ย ธนาคารจะพิจารณาจากประวัติการผ่อนชำระเป็นอันดับแรก หากเป็นลูกหนี้ที่ดี มีการผ่อนชำระที่ตรงเวลาและไม่เคยมีปัญหาใดๆ โอกาสในการยื่นกู้เพื่อขอดอกเบี้ยที่ต่ำลง ก็สามารถต่อรองกับทั้งธนาคารที่จะทำการรีไฟแนนซ์ หรือขอปรับลดดอกเบี้ยได้อย่างเรียบรื่นเช่นกัน

ทั้ง 3 วิธีที่กล่าวมานี้จะเป็นตัวช่วยให้การลดดอกเบี้ยบ้านให้คุณได้ลดภาระการผ่อนบ้านในระยะยาวให้สั้นลง แถมดอกเบี้ยโดยรวมทั้งหมดยังลดลงอีกด้วย ซึ่งจะช่วยทำให้หมดภาระหนี้บ้านได้รวดเร็วขึ้น อารียาขอเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยนำเสนอข้อมูลดีๆ เพื่อเป็นประโยชน์สำหรับคนอยากมีบ้าน และปลดหนี้ได้ไวๆ นะคะ

เคล็ดลับการดูแลบ้านในช่วงหน้าร้อน

เคล็ดลับการดูแลบ้านในช่วงหน้าร้อน

หน้าร้อนกำลังมา! คุณได้เตรียมความพร้อมเพื่อสู้กับความร้อนและถนอมบ้านที่รักแล้วหรือยัง โดยปกติแล้วประเทศไทยจะเข้าสู่ฤดูร้อนตั้งแต่กลางเดือนมีนาคมไปจนถึงกลางเดือนพฤษภาคมของทุกปี ซึ่งกินระยะเวลาประมาณ 2 เดือนครึ่ง นอกจากการดูแลสุขภาพตัวเองให้พร้อมอยู่เสมอแล้ว การดูแลบ้านในช่วงหน้าร้อนก็เป็นสิ่งสำคัญที่ควรใส่ใจ อารียาจึงขอหยิบยกเคล็ดลับการดูแลบ้านในช่วงหน้าร้อนเพื่อบ้านที่คุณรักมาฝากกันค่ะ

1. ดูแลเครื่องปรับอากาศ

เครื่องปรับอากาศเป็นหนึ่งในตัวช่วยอันดับต้นๆ ที่สามารถทำให้อากาศร้อนๆ เย็นสบายขึ้นได้ในเวลาเพียงไม่กี่นาที ซึ่งการทำงานของเครื่องปรับอากาศในหน้าร้อนจะทำให้เครื่องทำงานหนักมากกว่าปกติ สิ่งที่จะช่วยถนอมการใช้งานเครื่องปรับอากาศได้นั้น ควรตรวจเช็คการใช้งานให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์อย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง และทำการล้างเครื่องปรับอากาศในทุกๆ 6 เดือน เพื่อขจัดฝุ่นที่อุดตันในแผ่นกรอง ทำให้ตัวเครื่องปรับอากาศทำงานได้สะดวกและยังกินไฟน้อยลงด้วย

2. ลดอุณหภูมิตัวบ้าน

การที่แสงแดดตกกระทบมายังตัวบ้านทั้งภายนอกและภายในคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่สามารถป้องกันแสงแดดและความร้อนที่จะเข้ามายังตัวบ้านให้ลดน้อยลงได้ ซึ่งจะช่วยลดอุณหภูมิทำให้บ้านเย็นขึ้น และป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้ โดยสามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้

  • เลือกทาสีบ้านโทนอ่อน การทาสีบ้านโทนเข้มจะดูดกลืนความร้อนมากกว่าบ้านโทนสีอ่อน โดยสีโทนอ่อนนั้นจะช่วยให้ตัวบ้านดูดกลืนแสงแดดและความร้อนน้อยลง จึงทำให้บ้านเย็นขึ้น
  • ทาสีบ้านป้องกันแสง UV เป็นนวัตกรรมสีทาบ้านที่มีคุณสมบัติสะท้อนรังสี UV ที่มาจากแสงแดด และยังช่วยให้สีผนังไม่หลุดลอกง่ายแม้แดดแรง
  • ติดตั้งสปริงเกอร์บนหลังคา การติดตั้งตัวฉีดน้ำ หรือสปริงเกอร์ไว้บนหลังคาบ้าน ละอองน้ำที่กระจายไปบนหลังคาจะช่วยลดอุณหภูมิของบ้านได้ 1-2 องศาเซลเซียส นอกจากจะลดความร้อนแล้วยังสร้างบรรยากาศชุ่มฉ่ำให้กับตัวบ้านด้วย
  • เปิดประตูหน้าบ้านและหลังบ้านเพื่อระบายอากาศ การเปิดประตูหน้าบ้านและหลังบ้านทิ้งไว้พร้อมกันจะเป็นช่องทางลมที่ทำให้มีการหมุนเวียนของอากาศเข้าและออก ทำให้ตัวบ้านมีอากาศถ่ายเทไม่อบอ้าว ซึ่งจะช่วยลดอุณหภูมิของบ้านได้

3. ดูแลปกป้องเฟอร์นิเจอร์

แสงแดดที่ร้อนแรงอาจเป็นศัตรูที่ทำให้เฟอร์นิเจอร์เสียหายได้ เช่น เฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากพลาสติก เมื่อโดนแดดนานๆ จะทำให้เปราะแตกง่าย หรือเฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากหนังเทียมอาจแห้งและแตกลายงา ในหน้าร้อนที่แดดแรงๆ แบบนี้จึงควรหลีกเลี่ยงแสงแดดที่จะส่องมายังเฟอร์นิเจอร์โดยตรง และสามารถทำได้หลากหลายวิธี ได้แก่ ติดตั้งผ้าม่านเพื่อลดแสง ติดฟิล์มกันความร้อน ติดตั้งกันสาดบังแดด เลื่อนเฟอร์นิเจอร์บางชิ้นหลบแสงแดด หรือใช้ผ้ามาคลุมเพื่อป้องกันเฟอร์นิเจอร์เสียหายจากความร้อน เป็นต้น

4. เพิ่มพื้นที่สีเขียว

การเพิ่มพื้นที่สีเขียวที่บ้านด้วยการปลูกต้นไม้บริเวณรอบๆ บ้าน หรือหาต้นไม้ฟอกอากาศมาตั้งตามจุดต่างๆ ภายในบริเวณบ้าน ด้วยคุณสมบัติของต้นไม้ที่จะผลิตออกซิเจนในช่วงเวลากลางวัน ทำให้อากาศมีการถ่ายเท และบรรยากาศสดชื่นแล้ว ต้นไม้ที่ปลูกบริเวณรอบตัวบ้านยังเป็นเกราะกำบังความร้อนที่จะเข้ามายังตัวบ้านในช่วงเวลากลางวันได้เป็นอย่างดี

5. หมั่นทิ้งและแยกขยะ ช่วยลดโลกร้อน

เรื่องขยะอาจดูเป็นประเด็นที่ไม่สำคัญ  แต่นี่คือสาเหตุหลักที่ทำให้ทุกวันนี้โลกของเราร้อนขึ้น  แถมในช่วงหน้าร้อนเชื้อโรคและแบคทีเรียจะมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว เป็นสาเหตุของโรคต่างๆ มากมาย การทิ้งขยะและสิ่งหมักหมม จะช่วยขจัดเชื้อโรคได้ดีที่สุด ซึ่งการแยกขยะอย่างถูกวิธี นอกจากจะช่วยทำให้คัดแยกขยะได้ถูกประเภทแล้ว ยังสามารถนำขยะกลับมารีไซเคิลได้ไม่ยาก ทำให้ขยะที่ต้องกำจัดลดน้อยลง ลดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม และเป็นแนวทางในการร่วมลดโลกร้อนได้อย่างยั่งยืน

ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการบ้านรักษ์โลก-ไร้ขยะ ใน Como Bianca Bangna จากอารียา ที่ทำให้ชีวิตการอยู่อาศัยทำให้คุณรักษ์โลกได้มากขึ้น คลิก

เคล็ดลับการดูแลบ้านในช่วงหน้าร้อนที่กล่าวมาข้างต้นนี้เป็นทริคง่ายๆ ที่ทำให้การดูแลบ้านเป็นเรื่องเล็กๆ แถมยังปกป้องบ้านจากแสงแดด และความร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ หน้าร้อนนี้ อารียาหวังว่าทุกคนจะได้พักผ่อนอยู่ในบ้านที่รักอย่างมีความสุขกันนะคะ

บทความที่เกี่ยวข้อง

รักษ์โลกแบบง่ายๆ แค่เริ่มต้นจากที่บ้าน

7 แนวทางการใช้ชีวิตที่บ้านให้กลายเป็น Eco living

6 วิธีช่วยลดฝุ่น PM 2.5 ช่วยโลก ช่วยเรา

7 เทคนิคการยื่นกู้บ้านให้ผ่านฉลุย

7 เทคนิคการยื่นกู้บ้านให้ผ่านฉลุย

การได้ครอบครองบ้านที่เป็นที่อยู่อาศัยสักหลัง หากใครมีเงินเก็บที่มากพอก็สามารถซื้อเงินสดได้ในทันที แต่ถ้าหากใครที่ไม่มีเงินก้อน ก็มีทางเลือกในการซื้อบ้านได้ด้วยวิธีการยื่นกู้กับธนาคาร โดยขั้นตอนในการยื่นกู้จะต้องเตรียมเอกสารและความพร้อมเพื่อให้กู้ผ่านแบบง่ายๆ วันนี้อารียาขอนำเสนอเทคนิคในการเตรียมความพร้อมก่อนยื่นกู้บ้าน เพื่อให้คุณสามารถยื่นกู้บ้านผ่านได้ในครั้งเดียวมาฝากกันค่ะ

1. ประเมินสถานะทางการเงิน
การยื่นกู้บ้านหลักสำคัญคือการมีรายได้ เพื่อแสดงเป็นหลักฐานให้ธนาคารเห็นว่าคุณมีความพร้อมในการผ่อนชำระในทุกๆ เดือน ตลอดระยะเวลาสัญญากู้บ้านกับธนาคาร ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน โดยเงินในแต่ละเดือนที่คุณสามารถผ่อนชำระค่าบ้านได้ ไม่ควรเกิน 40% ของรายรับในแต่ละเดือน นอกจากนี้ยังไม่นับรวมค่าใช้จ่ายอื่นๆ ซึ่งควรประเมินความสามารถในการผ่อนของคุณเอง เพื่อหาบ้านที่มีราคาที่เหมาะสม และไม่เกินความสามารถของรายรับปัจจุบัน หากบ้านที่คุณต้องการมีราคาที่สูงเกินรายได้ ก็ควรเตรียมหาผู้กู้ร่วมเพื่อเพิ่มวงเงินและความสามารถในการผ่อนชำระที่สูงขึ้น เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือนั่นเอง

วิธีการคำนวณวงเงินสินเชื่อ

(จำนวนเงินผ่อนต่อเดือน x 1,000,0000) ÷ 7,000

ตามสูตรโดยทั่วไปที่ธนาคารกำหนดความสามารถของผู้กู้ในการผ่อนชำระจะอยู่ที่เดือนละ 40% ต่อเดือน หากผู้กู้มีเงินเดือน 30,000 บาท จะสามารถผ่อนชำระรายเดือนได้ 12,000 บาท เมื่อนำไปใช้สูตรคำนวณวงเงินสินเชื่อสูงสุดจะได้ดังนี้

(12,000 x 1,000,0000) ÷ 7,000 = 1,714,285

ผลการคำนวณตามสูตรได้เท่ากับ 1,714,285 นั่นหมายถึงวงเงินกู้สูงสุดตามฐานเงินเดือนที่จะได้รับจากธนาคารคือ 1,714,285 บาท  ผู้กู้ก็สามารถมองหาบ้านที่ต้องการซื้อได้ในราคาไม่เกิน 1.7 ล้านบาท เพื่อทำการยื่นกู้ เป็นต้น

2. เก็บเงินเพื่อความชัวร์
ก่อนการกู้ซื้อบ้านควรมีการวางแผนเก็บเงินอย่างน้อย 10% ของราคาบ้าน สำหรับค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการทำสัญญาและการโอนที่คุณอาจต้องชำระเอง เพื่อเป็นเงินสำรองฉุกเฉินในกรณีที่ยื่นกู้บ้านกับธนาคารไปแล้ว แต่ไม่ได้รับการอนุมัติเต็มวงเงิน เช่น บ้านราคา 2 ล้านบาท แต่ธนาคารอนุมัติมาให้เพียง 1.8 ล้านบาท ก็ต้องหาเงินมาชำระเพิ่ม 2 แสน หากไม่สามารถหาเงินมาเติมเต็มในค่าใช้จ่ายส่วนนี้ได้ ก็อาจต้องปล่อยบ้านที่ต้องการซื้อไปอย่างน่าเสียดาย หรือในกรณีการยื่นกู้บ้าน และคุณมีเงินเก็บที่สามารถนำไปชำระเพิ่มเติมเป็นส่วนต่างของเงินดาวน์ก็จะยิ่งทำให้โอกาสในการได้รัการอนุมัติสูงขึ้นตามไปด้วย

3. รายการเดินบัญชีต้องสวย
สำหรับรายรับที่ต้องแสดงเพื่อเป็นหลักฐานในการยื่นกู้บ้าน ควรมีการเดินบัญชีอย่างสม่ำเสมอ ในกรณีที่ทำงานประจำ จะมีเงินเดือนเข้าบัญชีธนาคารอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว แต่สำหรับผู้ที่ทำงานอิสระ ก็สามารถทำรายการเดินบัญชีให้สวยได้ด้วยเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น นำรายได้ที่ได้ในแต่ละเดือนรวบรวบเข้าบัญชีธนาคารอย่างสม่ำเสมอในทุกเดือน โดยหลักสำคัญในการทำรายการเดินบัญชีธนาคารให้สวยนั้น เมื่อมีเงินเข้าบัญชีธนาคารแล้ว ไม่ควรกดเงินจำนวนนั้นออกมาในทันที ทางที่ดีควรทยอยนำออกมาใช้ และควรมีเงินเหลือติดบัญชีไว้บ้างในทุกๆ เดือน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วธนาคารจะพิจารณารายการเดินบัญชีช่วงระยะเวลา 6-12 เดือน ก่อนการยื่นกู้ ผู้กู้จึงควรมีการวางแผนเดินบัญชีล่วงหน้า

4. สร้างเครดิตการเงินให้ดี
นากจากการมีรายได้แล้ว การสร้างเครดิตที่ดีเกี่ยวกับการเงินเป็นประเด็นสำคัญที่ธนาคารจะพิจารณาอนุมัติการกู้บ้าน ยกตัวอย่าง เช่น การผ่อนชำระสินค้า การใช้บัตรเครดิต การกู้ซื้อของต่างๆ เหล่านี้ จะแสดงถึงประวัติทางการเงิน และวินัยทางการเงินที่ธนาคารสามารถตรวจสอบได้ว่าที่ผ่านมาคุณเคยมีประวัติการชำระเป็นเช่นไร มีการชำระอย่างสม่ำเสมอตรงตามรอบ หรือค้างจ่าย หรือ มีการจ่ายขั้นต่ำหรือไม่ หากคุณเป็นคนหนึ่งที่เคยทำธุรกรรมเหล่านี้มาก่อน และมีประวัติชำระที่ดี จะเป็นหลักฐานที่สร้างความน่าเชื่อถือและโอกาสในการยื่นกู้ที่สูงกว่าผู้ที่ไม่เคยมีประวัติการใช้จ่ายใดๆ

5. เลี่ยงการค้างชำระ
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ใช้จ่ายการเงินผ่านทางเครดิต ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิต หรือบัตรกดเงินสด ก่อนยื่นกู้ควรเลี่ยงการค้างชำระ หากมีการใช้จ่ายๆ ใด ควรชำระเต็มจำนวนตามเวลาที่กำหนด ทั้งนี้ควรสร้างประวัติการชำระหนี้ที่ดีย้อนหลังกลับไปไม่ต่ำกว่า 6 เดือน การใช้จ่ายจึงควรมีความรอบคอบ และใช้จ่ายในจำนวนที่สามารถชำระหมดได้ในแต่ละเดือน เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้แก่ประวัติทางการเงินของคุณนั่นเอง

6. เคลียร์หนี้ให้เหลือน้อยที่สุด
ก่อนการยื่นกู้ควรมีการวางแผน และเคลียร์หนี้ที่เคยชำระอยู่ให้หมด หรือเหลือน้อยที่สุด เนื่องจากธนาคารจะพิจารณาทั้งรายรับ และภาระค่าใช้จ่ายในปัจจุบันประกอบกัน เพื่อดูความสามารถในการผ่อนชำระรายเดือน และวงเงินกู้บ้านที่จะได้รับ ยิ่งผู้กู้สามารถเคลียร์ค่าใช้จ่ายได้เท่าไหร่ นั่นหมายถึงวงเงินที่ได้รับก็จะเพิ่มสูงขึ้น หรืออาจได้เต็มวงเงินที่ขอยื่นกู้ไปทั้งหมดนั่นเอง

7. งดผ่อนสินค้าก่อนกู้
เมื่อมีแผนที่จะกู้ซื้อบ้านควรงดการผ่อนสินค้าใดๆ ไม่ว่าจะเป็นการผ่อนชำระแบบมีดอกเบี้ย หรือผ่อนชำระแบบ 0% รวมถึงกรณีทำการซื้อสินค้าให้คนอื่น หรือคนในครอบครัวผ่อนชำระแทน โดยอ้างว่าผู้อื่นเป็นคนชำระ ก็ไม่ควรทำ เพราะธนาคารจะพิจารณาภาระค่าใช้จ่ายที่กระทำภายใต้ชื่อและเครดิตของคุณทั้งหมด ซึ่งจะส่งผลต่อวงเงินขอยื่นกู้บ้าน ที่อาจอนุมัติได้ไม่เต็มวงเงิน หรืออาจถูกปฏิเสธการยื่นกู้บ้านได้ เป็นไปได้ควรงดผ่อนช่วงก่อนการยื่นกู้ไปก่อน หากทำการกู้ผ่านแล้วค่อยดำเนินการผ่อนทีหลังก็สามารถทำได้

เทคนิคเตรียมความพร้อมที่กล่าวมาทั้ง 7 ข้อ เป็นการเตรียมตัวก่อนการยื่นกู้บ้าน หากทำครบตามที่แนะนำไป เมื่อถึงเวลาการยื่นกู้บ้านที่คุณต้องการ เพียงแค่เตรียมเอกสารตามข้อกำหนดของแต่ละธนาคารให้ครบถ้วนเรียบร้อย เพื่อความรวดเร็วในการพิจารณาและอนุมัติวงเงินกู้บ้านของคุณ เท่านี้การยื่นกู้ซื้อบ้านก็จะได้รับการอนุมัติอย่างรวดเร็วโดยไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ อารียาขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้คุณได้มีบ้านในแบบที่คุณต้องการนะคะ

ดูโครงบ้านจากอารียาเพิ่มเติม คลิก

10 วิธียืดอายุการใช้งาน และดูแลบ้านให้น่าอยู่

10 วิธียืดอายุการใช้งาน และดูแลบ้านให้น่าอยู่

บ้านแต่ละหลังมีเมื่ออายุการใช้งานที่มากขึ้น อาจทำให้ดูเก่าและโทรมไปตามกาลเวลา แต่ถ้าผู้อาศัยหมั่นดูแลรักษาอยู่เสมอ บ้านก็จะน่ามอง ไม่ดูเก่าไปพร้อมกับอายุ การดูแลรักษาบ้านให้ดูใหม่ และน่าอยู่เสมอ นอกจากจะทำให้ผู้อยู่อาศัยมีความสุขแล้ว ยังช่วยยืดอายุการใช้งานของบ้านให้ยาวนานไปพร้อมกับครอบครัวของเราได้อีกด้วย บทความนี้อารียาขอเสนอ 10 วิธีที่จะช่วยบำรุงและรักษาบ้านให้น่าอยู่มาฝากกันค่ะ

1. ความสะอาดบ้าน
ในยุคโควิดแบบนี้เชื่อว่าหลายๆ คนคงใช้ชีวิตอยู่บ้านมากกว่าแต่ก่อน เมื่อใช้ชีวิตอยู่บ้านก็ต้องเกิดพฤติกรรมการหยิบใช้ของและวางไม่เป็นที่เป็นทาง รวมถึงฝุ่นละอองในอากาศที่อาจปะปนมากับเชื้อโรค ทำให้ทุกวันของการอยู่บ้านควรต้องปัดกวาดเช็ดถูให้สะอาดอยู่เสมอ ข้าวของที่หยิบออกมาใช้ก็ควรจัดเก็บให้เรียบร้อย นอกจากนี้ยังควรหมั่นเช็ดทำความสะอาดตามจุดต่างๆ ภายในบ้าน เช่น การเช็ดถูเฟอร์นิเจอร์ที่สัมผัสบ่อยๆ ด้วยผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อโรค เปลี่ยนผ้าปูที่นอน นำที่นอนออกตากแดด เพื่อป้องกันโรคที่มาพร้อมกับฝุ่น ทิ้งขยะทุกวันเพื่อไม่ก่อให้เกิดการหมักหมมของเชื้อโรค และกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ เป็นต้น

2.เช็ดถูห้องครัว
การทำกิจกรรมต่างๆ ในห้องครัวมักก่อให้เกิดเศษอาหาร คราบน้ำมัน กลิ่นสะสม ขยะ และมักเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคได้เป็นอย่างดี ฉะนั้น หลังการใช้งานห้องครัว ควรมีการทำความสะอาดทุกครั้ง จานชามที่ใช้งานแล้วไม่ควรวางแช่ในอ่างล้างจาน เศษอาหารควรมีการปิดปากถุงให้เรียบร้อย เพื่อป้องกันเชื้อโรค มด หนู แมลงวัน แมลงสาบ หรือสัตว์ต่างๆ ที่ไม่พึงประสงค์ ที่อาจจะเป็นพาหะนำโรคมาสู่คุณและคนในครอบครัวได้

3. ตรวจเช็คท่อประปา
การตรวจเช็คท่อน้ำประปาภายในบ้านควรตรวจสอบอยู่เสมอ เพราะโอกาสในการรั่วซึมอาจเกิดขึ้นได้ ซึ่งจะทำให้เกิดค่าใช้จ่ายทิ้งเปล่าแบบไม่คาดคิด การใช้งานจึงควรสังเกตมาตรน้ำ และปริมาณการใช้งานเทียบจากเดือนก่อนว่ามีปริมาณที่ผิดปกติหรือไม่ หากท่อน้ำส่วนไหนของบ้านเกิดการรั่วไหลควรปิดวาล์วน้ำเฉพาะจุด เพื่อหยุดการใช้งานชั่วคราว และทำการซ่อมแซมให้เรียบร้อยก่อนเปิดใช้งานอีกครั้ง

4. เช็คระบบไฟฟ้า
ปัจจุบันเครื่องใช้ภายในบ้านส่วนใหญ่มักต้องใช้กับระบบไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็น เครื่องปรับอากาศ พัดลม ตู้เย็น เครื่องดูดฝุ่น หลอดไฟส่องสว่าง ฯลฯ ซึ่งเครื่องใช้เหล่านี้ต้องใช้ไฟฟ้าแทบจะตลอดเวลา จึงควรหมั่นตรวจเช็คการใช้งาน ระบบสายไฟ และปลั๊กไฟตามจุดต่างๆ ให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอ หากมีอุปกรณ์ส่วนไหนชำรุด หรือเสียหายก็ควรซ่อมแซมหรือเปลี่ยนทันที เพียงเท่านี้ก็จะช่วยป้องกันอันตรายที่จะเกิดจากกระแสไฟฟ้าลัดวงจรได้

5. เช็ครอยรั่วของหลังคาบ้าน
ประเทศไทยกับฤดูฝนมักเป็นของที่อยู่คู่กันมาทุกยุคสมัย หากเกิดฝนตกลงมาแล้วเกิดรอยรั่วตามจุดต่างๆ อาจทำให้น้ำฝนที่ตกลงมาไหลเข้ามายังตัวบ้าน และทำให้เครื่องใช้ภายในบ้านเสียหาย รวมถึงตัวบ้านเอง ไม่ว่าจะเป็น ฝ้าเพดาน และผนังบ้าน ก็อาจชำรุดจากความชื้นที่รั่วซึมเข้ามาได้ จึงควรสังเกตในช่วงที่ฝนตก หากพบจุดรั่วซึมควรทำการซ่อมแซมให้เรียบร้อยเพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

6. จัดสวนให้ดูร่มรื่น
การดูแลรักษาบ้าน นอกจากในตัวบ้านแล้ว รอบนอกบ้านหากมีการจัดสวน หรือปลูกต้นไม้ ก็จะช่วยเพิ่มสีสัน และสร้างบรรยากาศโดยรอบบ้านให้ดูร่มรื่นไปด้วย นอกจากนี้ต้นไม้ที่ปลูกรอบบ้าน ยังช่วยลดความร้อนให้กับตัวบ้านได้อีกทาง ทั้งนี้ควรหมั่นตกแต่ง ตัดกิ่งไม้ กวาดเศษใบไม้อยู่เสมอ เพื่อความร่มรื่นสะอาดตา และป้องกันการหลบซ่อนของสัตว์มีพิษ

7. เช็ดทำความสะอาดพื้นกระเบื้อง
พื้นกระเบื้องที่เปียกหรือมีความชื้นมักก่อให้เกิดตะไคร่น้ำ ทำให้พื้นลื่น เป็นอันตรายต่อคนในบ้าน หากเดินเหยียบแล้วเกิดอุบัติเหตุลื่นล้ม จึงควรหมั่นขัดล้างทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ และควรเช็ดให้แห้ง นอกจากนี้ยังควรตรวจสอบพื้นกระเบื้องที่แตกร้าว หากพบควรเปลี่ยนกระเบื้องหรือซ่อมแซมให้เรียบร้อยเพื่อความปลอดภัยของคนในบ้าน

8. ดูแลสีและผนังบ้าน
บ้านบางหลังเมื่อใช้งานไปซักระยะสีผนังอาจเกิดฝุ่นคล้ายแป้ง นั่นหมายถึง สีบ้านเริ่มเสื่อมสภาพ หรืออาจเกิดสีโป่งพอง สีลอกล่อน จากความชื้น ผนังเกิดรอยร้าว ควรให้ช่างเข้ามาช่วยซ่อมแซมอุดรอย ทาสี ขัดเงา เพื่อให้บ้านคงสภาพเหมือนใหม่อยู่เสมอ

9. ป้องกันบ้านจากปลวก
หมั่นตรวจเช็คปลวกตามจุดต่างๆ หากพบว่ามีปลวกส่วนไหนของบ้านควรรีบหาวิธีกำจัด หรือใช้บริการของบริษัทรับกำจัดปลวกที่มีการรับประกันปลวกขึ้นบ้าน เพื่อการดูแลที่ต่อเนื่อง ไม่ให้ปลวกก่อปัญหาและสร้างความเสียหายให้แก่โครงสร้างของบ้านในอนาคต โดยเฉพาะเสาบ้าน และคาน ซึ่งเป็นส่วนโครงสร้างสำคัญที่ช่วยเสริมความแข็งแรงของบ้านให้อยู่ในสภาพดีเสมอ

10. เลือกผลิตภัณฑ์ดูแลบ้านที่มีคุณภาพ
การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับทำความสะอาดบ้านโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นน้ำยา หรืออุปกรณ์ต่างๆ ที่เหมาะกับการดูแลบ้าน จะช่วยทำให้งานทำความสะอาดบ้านนั้นง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นคราบในบริเวณต่างๆ ที่ขัดออกยาก ก็สามารถขัดล้างออกได้โดยไม่ทิ้งคราบสกปรก และไม่ทำลายพื้นผิวของบ้าน หรือทิ้งสารตกค้างที่เป็นอันตราย เพราะถ้าหากนำผลิตภัณฑ์ หรือน้ำยาอื่นๆ มาใช้ผิดประเภทอาจทำให้บ้านเกิดจากเสียหายได้เช่นกัน

อัพเดทล่าสุด! อัตราดอกเบี้ยบ้านปี 2565

อัพเดทล่าสุด! อัตราดอกเบี้ยบ้านปี 2565

สำหรับใครที่กำลังจะซื้อบ้านใหม่ และกำลังศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการยื่นกู้บ้าน วันนี้อารียาได้รวบรวมข้อมูลอัตราดอกเบี้ยการยื่นกู้ขอสินเชื่อเพื่อการซื้อบ้าน และคอนโดของทั้ง 8 ธนาคาร อัพเดทล่าสุดของปี 2565 มาดูกันว่าจะมีอัตราดอกเบี้ยของธนาคารไหนบ้างที่น่าสนใจ


หมายเหตุ: อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านเฉลี่ย 3 ปีแรก เป็นไปตามเงื่อนไขที่แต่ละธนาคารกำหนด และเป็นการคำนวณในเบื้องต้นเท่านั้น ทั้งนี้อาจมีเงื่อนไขเพิ่มเติม

ธนาคารอาคารสงเคราะห์

สินเชื่อบ้านของธนาคารอาคารสงเคราะห์เรียกได้ว่ามีอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำที่สุดในตอนนี้ เนื่องจากเป็นสินเชื่อจากนโยบายรัฐที่มีชื่อว่า “โครงการบ้านล้านหลัง” โดยอัตราดอกเบี้ยจะอยู่ที่ 1.99% ต่อปี คงที่ไป 4 ปีแรก จำกัดวงเงินกู้ที่ 1.2 ล้านบาท ผ่อนนานสูงสุด 40 ปี สามารถยื่นกู้ได้ตั้งแต่วันที่ 10 กันยายน 2564 จนสิ้นสุดระยะเวลาทำนิติกรรมในวันที่ 30 ธันวาคม 2566 หรือเมื่อธนาคารให้สินเชื่อเต็มกรอบวงเงินของโครงการที่กำหนด

ศึกษารายละเอียดการกู้บ้านกับธนาคารอาคารสงเคราะห์ได้ที่ โครงการบ้านล้านหลัง ธนาคารอาคารสงเคราะห์

ธนาคารกรุงศรีอยุธยา

สินเชื่อบ้านของธนาคารกรุงศรีอยุธยา อัตราดอกเบื้ยเฉลี่ย 3 ปีแรก ต่ำสุดจะอยู่ที่ 2.55% โดยจะพิจารณาอนุมัติวงเงินสูงสุดที่ 100% ของราคาประเมิน สำหรับการยื่นกู้ซื้อคอนโด ส่วนอัตราดอกเบี้ยบ้านใหม่ / บ้านมือสอง ต่ำสุดเฉลี่ย 3 ปีแรกจะอยู่ที่ 3.97% ต่อปี โดยได้รับวงเงินสูงสุดที่ 90% ของราคาประเมิน และสำหรับกลุ่มอาชีพพิเศษ (แพทย์ สัตวแพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกร ผู้พิพากษา และนักบินพาณิชย์ จะได้รับอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรกต่ำสุดอยู่ที่ 2.55% ต่อปี โดยวงเงินสูงสุดที่ได้รับอนุมัติอยู่ที่ 100% ของราคาประเมิน  ผู้กู้สามารถยื่นกู้ได้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2565 – 30 เม.ย. 2565

ศึกษารายละเอียดการกู้บ้านกับธนาคารกรุงศรีอยุธยาได้ที่ สินเชื่อบ้านธนาคารกรุงศรีอยุธยา

ธนาคารกรุงเทพ

สินเชื่อบ้านของธนาคารกรุงเทพ มีอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรก ต่ำสุดอยู่ที่ 2.73% ต่อปี สำหรับผู้ที่ประกอบวิชาชีพเฉพาะทาง ได้แก่ แพทย์ ทันตแพทย์ สัตวแพทย์ เภสัชกรผู้มีรายได้ประจำ ผู้พิพากษา อัยการ และนักบินพาณิชย์ รวมไปถึงผู้ที่เป็นพนักงานประจำที่มีรายได้ 200,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป โดยสามารถผ่อนชำระได้นานสุด 30 ปี (ยกเว้นพนักงานประจำผ่อนชำระสูงสุด 35 ปี) โดยระยะเวลาในการยื่นกู้สำหรับดอกเบี้ยนี้ เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ. 2565 – 31 มี.ค. 2565

ศึกษารายละเอียดการกู้บ้านกับธนาคารกรุงเทพได้ที่ สินเชื่อบ้านธนาคารกรุงเทพ

ธนาคารกรุงไทย

สินเชื่อบ้านของธนาคารกรุงไทย สำหรับบ้านใหม่มีอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรก ต่ำสุดอยู่ที่ 2.77% ต่อปี สำหรับการเลือกกู้แบบลอยตัว โดยอัตราดอกเบี้ยตลอดระยะเวลา 3 ปี เท่ากับ MRR – 3.45 ในกรณีทำประกันวงเงิน และ MRR- 3.35 ในกรณีไม่ทำประกันวงเงิน ส่วนการยื่นกู้แบบคงที่ 1 ปี อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรกต่ำสุด อยู่ที่ 2.80% ต่อปี ในกรณีทำประกัน และ 2.9% ต่อปีในกรณีไม่ทำประกัน โดยระยะเวลาในการยื่นกู้สำหรับดอกเบี้ยนี้ ต้องยื่นภายในวันที่ 31 มี.ค. 2565

ศึกษารายละเอียดการกู้บ้านกับธนาคารกรุงไทยได้ที่ สินเชื่อบ้านธนาคารกรุงไทย

ธนาคารออมสิน

สินเชื่อบ้านของธนาคารออมสิน ออกโปรตัวแรงมาใหม่ โดยมีอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรก ต่ำสุดอยู่ที่ 2.45% ต่อปี สำหรับผู้ประกอบวิชาชีพเฉพาะ ได้แก่ กลุ่มวิชาชีพแพทย์ กลุ่มข้าราชการอัยการและตุลาการ กลุ่มวิชาชีพนักบิน กลุ่มวิชาชีพวิศวกร และอาจารย์มหาวิทยาลัย ส่วนกลุ่มลูกค้าทั่วไป อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรก ต่ำสุดจะอยู่ที่ 2.60% ต่อปี โดยระยะเวลาในการยื่นกู้สำหรับดอกเบี้ยนี้ สามารถทำการยื่นกู้ได้ตั้งแต่วันที่ 30 เม.ย. 2565 – 31 พ.ค. 2565

ศึกษารายละเอียดการกู้บ้านกับธนาคารออมสินได้ที่ สินเชื่อเคหะธนาคารออมสิน

ธนาคารทหารไทยธนชาต

สินเชื่อบ้านของธนาคารทหารไทยธนชาต มีอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรก ต่ำสุดอยู่ที่ 2.75% ต่อปี ซึ่งมีเงื่อนไขในการกู้ โดยจะต้องซื้อบ้านจากบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ตามที่ธนาคารกำหนดไว้ ซึ่งมีรายชื่อทั้งหมด 70 บริษัท และหนึ่งในนั้นรวมถึง บริษัท อารียา พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ด้วย โดยการกู้ซื้อบ้านพร้อมที่ดิน หรือคอนโดในราคาไม่เกิน 10 ล้านบาท จะอนุมัติวงเงินสูงสุดที่ 100% ของราคาซื้อขาย หรือราคาประเมิน หากเกิน 10 ล้านบาท วงเงินอนุมัติจะลดลงมาเหลือ 90% ของราคาซื้อขายหรือราคาประเมิน

ศึกษารายละเอียดการกู้บ้านกับธนาคารทหารไทยธนชาตได้ที่ สินเชื่อบ้านใหม่ธนาคารทหารไทยธนชาต

ธนาคารกสิกรไทย

สินเชื่อบ้านของธนาคารกสิกรไทย ทั้งบ้านใหม่และบ้านมือสอง มีอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรกต่ำสุดอยู่ที่ 7.72% ต่อปี สำหรับพนักงานที่มีรายได้ประจำ และ 8.22% ต่อปี สำหรับผู้ประกอบการ โดยวงเงินจะอนุมัติไม่เกิน 90% ของราคาซื้อขาย หรือราคาประเมินหลักประกัน นอกจากนี้ ยังมีอัตราดอกเบี้ยพิเศษสำหรับการกู้ซื้อสินทรัพย์รอการขายของธนาคารกสิกรไทย โดยมีอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรกต่ำสุดอยู่ที่ 3.39% ต่อปี

ศึกษารายละเอียดการกู้บ้านกับธนาคารกสิกรไทยได้ที่ สินเชื่อบ้านธนาคารกสิกรไทย

ธนาคารไทยพาณิชย์

สินเชื่อบ้านของธนาคารไทยพาณิชย์ มีอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรกต่ำสุดอยู่ที่ 5.95% ต่อปี สำหรับลูกค้าทั่วไป  โดยมีอัตราดอกเบี้ยแบบคงที่ ตั้งแต่ปีที่ 1-3 โดยจะพิจารณาอนุมัติวงเงินสูงสุด 100% จากราคาซื้อขายจริง ในกรณีที่หลักประกันมีราคาซื้อขายต่ำกว่า 10 ล้านบาท และพิเศษกว่าสำหรับลูกค้าโครงการ / องค์กร จะได้รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษ โดยขึ้นอยู่กับโครงการ หรือประเภทองค์กร

ศึกษารายละเอียดการกู้บ้านกับธนาคารไทยพาณิชย์ได้ที่ สินเชื่อซื้อบ้านใหม่ธนาคารไทยพาณิชย์

อย่างไรก็ตามข้อมูลดอกเบี้ยบ้านที่ทางอารียาได้รวบรวมมาข้างต้น เป็นเพียงข้อมูลอัตราดอกเบี้ยในเบื้องต้นเท่านั้น ทั้งนี้ข้อมูลอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามเงื่อนไขของธนาคาร ดังนั้นก่อนการยื่นกู้ควรศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม และสอบถามข้อมูลจากเจ้าหน้าที่สินเชื่อของแต่ละธนาคาร เพื่อการตัดสินใจในการยื่นกู้ในอัตราดอกเบี้ยที่คุณพึงพอใจมากที่สุด

รักษ์โลกแบบง่ายๆ แค่เริ่มต้นจากที่บ้าน

รักษ์โลกแบบง่ายๆ แค่เริ่มต้นจากที่บ้าน

บ้านถือเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญ 4 ประการสำหรับการใช้ชีวิต คนเรามักรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยเมื่อได้อาศัยอยู่ที่บ้าน ดังนั้นโลกก็ถือว่าเป็นบ้านของเราทุกคน และคงจะดีไม่น้อย ถ้าบ้านทุกๆ หลังที่ตั้งอยู่บนโลกใบนี้ ได้มีส่วนช่วยในการดูแลรักษาโลกที่เป็นที่อาศัยของทุกคนให้น่าอยู่ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งทุกๆ คนสามารถมีส่วนร่วมในการช่วยรักษาโลก และสิ่งแวดล้อมได้ง่ายๆ  ด้วยการเริ่มต้นจากที่บ้านของเรานั่นเอง

1. สร้างสุขภาวะรอบบ้านให้น่าอยู่
การสร้างสุขภาวะที่ดีให้แก่ตัวบ้าน นับเป็นการดูแลรักษา และสร้างสุขอนามัยให้กับตัวบ้าน ไม่ว่าจะเป็นการเก็บกวาดสิ่งของที่วางรกให้ดูเรียบร้อย ไม่ปล่อยให้บริเวณบ้านมีสิ่งหมักหมม หรือน้ำขัง ที่จะก่อให้เกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ และสัตว์อันตราย ปรับพื้นที่รอบบ้านทำเป็นสวน ปลูกต้นไม้เพิ่มพื้นที่สีเขียวเพื่อเพิ่มออกซิเจน และยังช่วยลดความร้อนที่เข้ามาประทะตัวบ้านได้อีกด้วย ทั้งหมดนี้นอกจากจะช่วยปรับที่อยู่อาศัยให้น่าอยู่ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมแล้ว ผู้ที่อยู่อาศัยก็จะมีสุขภาพจิตที่ดีไปด้วย

2. ลดการใช้พลังงาน ลดมลพิษภายในบ้าน
การใช้พลังงานต่างๆ ในปัจจุบัน คงยากที่จะหยุดใช้ไปในทันที ด้วยปัจจัยหลายๆ อย่าง แต่การลดทอน และใช้พลังงานอย่างพอดีและรู้คุณค่า จะเป็นตัวช่วยที่ทำให้การใช้ชีวิตภายในบ้านนั้นเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยจะเห็นได้ชัดเจนจาก บิลค่าน้ำ ค่าไฟ ที่เรียกเก็บในทุกเดือน หรือปริมาณขยะของเสียที่ต้องทิ้งในทุกวัน หากเราใช้อย่างพอดี ปิดน้ำ-ไฟทุกครั้งหลังใช้งาน หรือมีการรีไซเคิลของเหลือใช้เพื่อลดปริมาณขยะ เพียงเท่านี้ก็สามารถช่วยโลกของเราได้เช่นกัน

3. แยกขยะถูกวิธี ดีต่อโลก
ในทุกๆ วันคนเรามักทำกิจกรรมที่ก่อให้เกิดขยะมากมาย ซึ่งยังมีบ้านเรือนอีกมากที่ไม่แยกขยะ เพราะสะดวกในการรวมถุงทิ้ง จึงทำให้เกิดขยะที่ต้องกำจัดมากมาย และก่อให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม แต่จะดีกว่าไหม! ถ้าการแยกขยะจะช่วยรักษ์โลกได้ เพราะนอกจากคัดแยกขยะได้ถูกประเภทแล้ว ยังสามารถนำขยะกลับมารีไซเคิลได้ไม่ยาก ทำให้ขยะที่ต้องกำจัดลดน้อยลง ลดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างมาก

ปัจจุบันโครงการบ้านจากอารียาได้ตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากขยะ จนเกิดเป็นโครงการบ้านรักษ์โลก-ไร้ขยะ ต้นแบบวิถีชีวิต มินินอล อีโค่ ลิฟวิ่ง ซึ่งได้เปิดตัวโครงการนำร่องอย่าง Como Bianca Bangna เมื่อปี 2564 และมีแนวทางที่จะช่วยผลักดันให้ทุกโครงการเป็น Zero Waste Society อย่างแท้จริง โดยมาพร้อมกับนวัตกรรมที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการรักษา และใส่ใจสิ่งแวดล้อมได้มากยิ่งขึ้น ดังนี้

  • การติดตั้งเครื่องเปลี่ยนขยะให้เป็นปุ๋ย (Food Waste Decomposer Machine) ช่วยเปลี่ยนขยะเศษอาหารให้กลายเป็นปุ๋ย สามารถนำไปใช้บำรุงดิน ปลูกพืชผักได้
  • จัดเตรียมถังแยกขยะและถังรีไซเคิลภายในบ้านทุกหลัง โดยมีป้ายบอกอย่างชัดเจน เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นของการแยกขยะที่ถูกต้อง และสร้างวินัยในการแยกขยะในชีวิตประจำวัน
  • เปลี่ยนขยะให้เป็นเงิน ผ่านแอปพลิเคชัน Recycle Time นอกจากการแยกขยะแล้ว ทุกบ้านยังสามารถเอาขยะที่แยกนั้นมาเปลี่ยนเป็นเงินได้กับทางโครงการรับซื้อขยะ ซึ่งเป็นโครงการพิเศษสำหรับลูกบ้านอารียาเท่านั้น

ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการบ้านรักษ์โลก-ไร้ขยะ จากอารียา คลิก

4. ใช้เทคโนโลยีทดแทนพลังงานธรรมชาติ
อุปกรณ์เครื่องใช้ที่ช่วยลด และทดแทนการใช้พลังงานจากธรรมชาติเป็นทางเลือกใหม่ที่ทำให้ลดการใช้พลังงานลง และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเลือกใช้เครื่องไฟฟ้าที่กินไฟน้อย การใช้หลอดประหยัดไฟแบบ LED หรือหลอดไฟพลังงานแสงอาทิตย์ การใช้สุขภัณฑ์ประหยัดน้ำ การติดตั้งโซลาร์เซลล์ ฯลฯ ที่ยกตัวอย่างมาทั้งหมดนี้ใช่ว่าจะต้องปรับในคราวเดียว แต่สามารถวางแผนและปรับใช้ไปทีละอย่างตามความจำเป็นได้ ก็จะช่วยลดการใช้พลังงานลงในระยะยาวได้เป็นอย่างดี

การเริ่มรักษ์โลกจากที่บ้าน อาจต้องอาศัยการวางแผน และการปรับเปลี่ยนทั้งความคิดและพฤติกรรมที่ต้องคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ รวมไปถึงการปลูกฝังลูกหลานให้มีความเข้าใจ และตระหนักให้เห็นความสำคัญของสิ่งแวดล้อม การเริ่มต้นจากที่บ้านอาจเป็นจุดเล็กๆ ของสังคม แต่ถ้าทุกครอบครัวร่วมด้วยช่วยกันรักษ์โลก ก็จะช่วยทำให้โลกใบนี้กลายเป็นสีเขียว และน่าอยู่มากยิ่งขึ้น

5 จุดสำคัญ เตรียมทำความสะอาดบ้านต้อนรับเทศกาลตรุษจีน

5 จุดสำคัญ เตรียมทำความสะอาดบ้านต้อนรับเทศกาลตรุษจีน

วันตรุษจีน ปี 2565 ตรงกับวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ซึ่งวันตรุษจีนถือเป็นวันปีใหม่ตามปฏิทินจีน เรียกได้ว่าเป็นวันแห่งการเริ่มต้นใหม่ของปี เพราะฉะนั้นจึงมีพิธีเพื่อเสริมความเป็นสิริมงคลให้กับชีวิตและครอบครัว โดยชาวไทยเชื้อสายจีนจะมีธรรมเนียมปฏิบัติอยู่ 3 วัน ได้แก่ วันจ่าย วันไหว้ และวันเที่ยว นอกจากการกระทำต่างๆ ที่เสริมความเป็นสิริมงคลแล้วก็ยังมีข้อห้ามเกี่ยวกับวันตรุษจีน หนึ่งในนั้นคือ ห้ามทำความสะอาดบ้านในช่วงวันตรุษจีน ตามความเชื่อของจีนโบราณ การทำความสะอาดบ้านในวันปีใหม่ จะเป็นการนำพาโชคลาภออกไปจากบ้าน สำหรับใครที่รักความสะอาด และชอบความเป็นระเบียบ ก็ควรทำความสะอาดให้เรียบร้อยก่อนช่วงวันตรุษจีนในวันที่ 30 มกราคม 2565 นั่นเอง
การทำความสะอาดบ้าน นอกจากจะเป็นการทำให้บ้านน่าอยู่และเป็นระเบียบเรียบร้อย เพื่อเตรียมรอต้อนรับญาติพี่น้องในวันตรุษจีนแล้วนั้น การทำความสะอาดให้ครบทุกจุดสำคัญของบ้าน ก็ยังช่วยเสริมความเป็นสิริมงคลให้บ้านสามารถเปิดรับทรัพย์ได้อย่างเต็มที่ จึงขอแนะนำ 5 จุดสำคัญในการทำความสะอาดบ้านเพื่อเตรียมต้อนรับวันตรุษจีน

1.    เช็ดล้างหน้าบ้าน
บริเวณหน้าบ้านถือเป็นจุดเริ่มต้นของโชคลาภ เงินทองที่จะไหลเข้ามาสู่ตัวบ้าน การทำความสะอาดขัดล้างสิ่งสกปรก รวมถึงการรื้อสิ่งของที่ไม่จำเป็นออก หรือจัดข้าวของที่อยู่บริเวณหน้าบ้านให้เข้าที่เข้าทาง เพื่อไม่ให้มีอะไรมากีดขวางโชคลาภ หากหน้าบ้านมีที่เหลือ จะหาต้นไม้มงคลมาวางเป็นคู่ ก็จะช่วยเพิ่มสีสัน เพิ่มความเป็นสิริมงคล และช่วยดึงดูดโชคลาภให้เข้ามาสู่ตัวบ้านได้อีกแรง เพียงเท่านี้ก็ถือว่าทางเข้าบ้านได้พร้อมเปิดรับทรัพย์ให้ไหลมาเทมากันได้อย่างเต็มที่

2.    ขัดล้างห้องครัว
ห้องครัว เปรียบเป็นอู่ข้าว อู่น้ำของบ้าน เป็นตัวแทนของความอุดมสมบูรณ์ มีกินมีใช้ของทุกคนในครอบครัว การขัดล้างทุกซอกทุกมุมของครัว รวมถึงเครื่องใช้ต่างๆ ที่อยู่ในครัวก็ควรนำออกมาเช็ดล้างให้อยู่ในสถานะที่พร้อมใช้ ไม่มีฝุ่นเกาะ นอกจากนี้ หากมีอุปกรณ์เครื่องใช้ในครัวชำรุดเสียหาย หรือมีจาน ชาม แก้วน้ำที่แตกบิ่น ก็ควรนำไปทิ้งให้หมด เพราะทางความเชื่อของชาวจีน จาน ชาม หรือแก้วน้ำที่บิ่น และแตกร้าว จะนำพาสิ่งไม่เป็นมงคล นำพาเรื่องไม่ดี และอาจทำให้คนในครอบครัวเกิดการทะเลาะเบาะแว้งจากคำพูด ทำให้การงานไม่เจริญก้าวหน้า มีสิ่งอัปมงคลมาขัดขวางความเจริญนั่นเอง

3.    จัดห้องนอนให้เป็นระเบียบ และสะอาด
ห้องนอน ถือเป็นห้องส่วนตัว ซึ่งเป็นห้องเก็บพลังชีวิตที่จะส่งเสริมเรื่องความสัมพันธ์ของคนในครอบครัว รวมไปถึงเรื่องสุขภาพ การทำความสะอาดห้องนอน เช็ดฝุ่นตามจุดต่างๆ จัดข้าวของในห้องนอนให้เป็นระเบียบ นำที่นอนออกตากแดด เปลี่ยนผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน และเปิดหน้าต่างประตูเพื่อให้อากาศได้ถ่ายเท ก็จะช่วยทำให้ผู้อยู่อาศัยมีสุขภาพกายที่ดี สุขภาพจิตที่ผ่องใส ความสัมพันธ์กับคนในครอบครัวก็จะดีตามไปด้วย

4.    ชำระล้างห้องน้ำ
ห้องน้ำตามหลักฮวงจุ้ยนั้น มองห้องน้ำเป็นแหล่งพลังงานด้านลบที่วนเวียนจุดหนึ่งของบ้าน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพ และความร่ำรวยของผู้อยู่อาศัย ตัวช่วยในการลดพลังงานด้านลบออกไปเพื่อเตรียมต้อนรับสิ่งดีๆ ก่อนวันตรุษจีน สามารถลดพลังด้านลบได้ด้วยการทำความสะอาดห้องน้ำให้สะอาดสะอ้าน ขัดล้างพื้นห้องน้ำ รวมถึงสุขภัณฑ์ไม่ให้มีคราบดำ จัดข้าวของเครื่องใช้ภายในห้องน้ำให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ง่ายต่อการหยิบใช้ การทำความสะอาดห้องน้ำเพียงเท่านี้ก็จะช่วยล้างพลังงานด้านลบไม่ให้เป็นตัวกีดขวางโชคลาภที่จะไหลเข้ามายังตัวบ้านในช่วงวันตรุษจีน

5.    สวมใส่เสื้อผ้าที่สะอาด สดใส
การเลือกใส่เสื้อผ้าใหม่ที่สะอาด สีสันสดใสในวันตรุษจีน ถือเป็นเคล็ดลับของความเป็นสิริมงคล เตรียมพร้อมรับโชคในวันตรุษจีน โดยเสื้อผ้าที่เลือกมาสวมใส่นั้นจะเป็นเสื้อผ้าที่หาซื้อมาใหม่ หรือเป็นเสื้อผ้าที่เคยใส่แล้วแต่ยังดูใหม่ ก็สามารถนำมาสวมใส่ได้ เพียงซักทำความสะอาดให้เรียบร้อย โดยเสื้อผ้าที่นำมาใส่ในช่วงตรุษจีน ควรเน้นสีมงคล ได้แก่ สีแดง หรือสีทอง เพราะเป็นสีของความสุข และความมงคล ซึ่งจะช่วยเพิ่มพลังงานบวกให้กับตัวผู้ใส่รวมถึงครอบครัวให้มีชีวิตราบรื่น และประสบความสำเร็จตลอดปี

การทำความสะอาดจุดสำคัญทั้ง 5 ที่กล่าวมาข้างต้น นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของการเตรียมพร้อมในการรับพลังงานบวก และโชคลาภที่กำลังจะเข้ามาในวันตรุษจีนนี้ จึงไม่ควรมองข้าม และควรเตรียมพร้อมไว้ล่วงหน้า เมื่อถึงช่วงตรุษจีนบ้านเรือนก็จะสะอาดเรียบร้อย พร้อมต้อนรับญาติพี่น้องกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา รับรองว่าตรุษจีน และตลอดทั้งปีนี้ คุณและครอบครัวจะได้รับความสุข ความเป็นสิริมงคล และโชคลาภกันอย่างเต็มเปี่ยมแน่นอน