รู้ยัง? ดอกเบี้ยบ้าน ใช้ลดหย่อนภาษีได้นะ

ช่วงหลังปีใหม่ไปจนถึงวันที่ 31 มีนาคมของทุกปี เรียกได้ว่าเป็นช่วงเทศกาลแห่งการยื่นแบบแสดงรายได้และเสียภาษีประจำปีของคนไทยทุกคนที่มีรายได้ สำหรับใครที่เพิ่งเริ่มทำงานอาจจะยังไม่คุ้นชินกับการยื่นแบบภาษีประจำปี แต่ถ้าใครที่ทำงานมานานหรือมีเงินเดือนที่สูงในเกณฑ์ของกรมสรรพากรที่ต้องเสียภาษี จะต้องรู้ว่ามีเงื่อนไขที่ทำให้คุณเสียภาษีน้อยลง นั่นก็คือ ค่าใช้จ่ายที่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้นั่นเอง แต่รู้หรือไม่ว่าในบรรดาค่าใช้จ่ายที่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ หนึ่งในนั้นคือดอกเบี้ยบ้าน สำหรับคนที่กู้ซื้อบ้านกับธนาคาร สามารถนำดอกเบี้ยบ้านที่จ่ายไปตลอดทั้งปีมาคำนวณ เพื่อหักลดหย่อนเป็นค่าใช้จ่ายได้ด้วย

การนำเงินค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยบ้านมาลดหย่อนภาษี สามารถหักลดหย่อนได้ตามจริง โดยรายการลดหย่อนส่วนนี้จะสามารถนำไปกรอกในแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับผู้มีเงินได้จากการจ้างแรงงานตามมาตรา 40(1) แห่งประมวลรัษฎากร ประเภทเดียว หรือชื่อย่อ ภ.ง.ด.91 ซึ่งรายการลดหย่อนในส่วนของดอกเบี้ยบ้านจะอยู่ในหมวด ค. รายการลดหย่อนและยกเว้นหลังจากหักค่าใช้จ่าย ข้อที่ 11. ดอกเบี้ยเงินกู้ยืม เพื่อซื้อ เช่าซื้อ หรือสร้างอาคารที่อยู่อาศัย ทั้งนี้การนำดอกเบี้ยบ้านมาใช้ลดหย่อนมีเงื่อนไขที่ต้องศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมดังนี้

ดอกเบี้ยบ้านสามารถลดหย่อนได้สูงสุด 100,000 บาท

กรมสรรพากรได้กำหนดให้ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อที่อยู่อาศัยเป็นหนึ่งในค่าใช้จ่ายที่สามารถนำมาใช้ลดหย่อนภาษีเพิ่มเติมได้ เนื่องจากที่อยู่อาศัยเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ที่มนุษย์ทุกๆ คนควรมี รัฐบาลจึงสนับสนุนให้ทุกคนมีบ้านและช่วยแบ่งเบาภาระเรื่องภาษี ให้ผู้มีเงินได้มีสิทธิ์ในการนำดอกเบี้ยบ้านที่ชำระในการผ่อนบ้านมาลดหย่อนได้ตามจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาทต่อปี ยกตัวอย่างเช่น

  • กรณีดอกเบี้ยบ้านไม่เกิน 100,000 บาท

สมมติว่าปีที่ผ่านมาจ่ายดอกเบี้ยบ้านไปทั้งหมด 83,000 บาท เมื่อนำยอดดอกเบี้ยบ้านไปคำนวณ จะสามารถลดหย่อนภาษีได้ตามจริงในจำนวน 83,000 บาท

  • กรณีดอกเบี้ยบ้านเกิน 100,000 บาท

สมมติว่าปีที่ผ่านมาจ่ายดอกเบี้ยบ้านไปทั้งหมด 120,000 บาท เมื่อนำยอดดอกเบี้ยบ้านไปคำนวณ จะสามารถลดหย่อนได้เพียง 100,000 บาท ส่วนเกิน 20,000 บาท จะไม่ถูกนำมาคำนวณในการลดหย่อนนั่นเอง

ดอกเบี้ยบ้านในกรณีมีบ้านมากกว่า 1 แห่ง

การนำดอกเบี้ยบ้านมาใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการลดหย่อนภาษีนั้น สามารถนำรายการค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยบ้านมากกว่า 1 แห่ง มาใช้ลดหย่อนภาษีได้ทั้งหมด ภายใต้เงื่อนไขการคำนวณดอกเบี้ยบ้านที่นำมาใช้ลดหย่อนได้สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท

กู้ร่วมจะใช้ลดหย่อนอย่างไร

ตามหลักเกณฑ์ปกติหากยื่นกู้เพียงคนเดียวจะสามารถนำดอกเบี้ยบ้านมาใช้ลดหย่อนภาษีได้สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท แต่ในกรณีที่เป็นการกู้ร่วมตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป จะมีการหารดอกเบี้ยกัน โดยประมวลกฎหมายรัษฎากรได้กำหนดเงื่อนไขในส่วนนี้ไว้ว่า

“กรณีที่เป็นการกู้ร่วมกันหลายคน ให้แบ่งดอกเบี้ยคนละเท่าๆ กัน แต่รวมกันแล้วต้องไม่เกิน 100,000 บาท”

ยกตัวอย่างเช่น บ้านหลังหนึ่งมีการกู้ร่วมของคนสองคน โดยในปีที่ผ่านมามีการจ่ายดอกเบี้ยบ้านไปจำนวน 120,000 บาท ทั้งสองคนนี้จะสามารถแบ่งดอกเบี้ยบ้านจากวงเงินสูงสุดที่ 100,000 บาท หรือหารกันได้คนละ 50,000 บาท

จดทะเบียนสมรสลดหย่อนอย่างไร

กรณีการนำดอกเบี้ยบ้านมาลดหย่อนภาษีสำหรับบุคคลที่จดทะเบียนสมรสกัน มีเงื่อนไขในการลดหย่อนอยู่ 5 ประเภท ซึ่งจะถูกแบ่งเงื่อนไขออกไปตามการมีรายได้ การยื่นกู้ และการยื่นแบบ โดยสามารถอธิบายการนำดอกเบี้ยบ้านไปยื่นขอลดหย่อนภาษีได้ดังนี้

ผู้มีเงินได้ กู้บ้าน การยื่นแบบ การลดหย่อนภาษีสินเชื่อบ้าน
ฝ่ายเดียว สองฝ่าย กู้ร่วม แยกกู้ แยกยื่น ยื่นรวม
ตามจริงไม่เกิน 100,00 บาท
ตามจริง รวมกันไม่เกิน 100,000 บาท
ตามจริง รวมกันไม่เกิน 100,000 บาท
ตามจริง ฝ่ายละไม่เกิน 100,000 บาท
ตามจริง ฝ่ายละไม่เกิน 100,000 บาท
  1. กรณีฝ่ายสามีหรือภรรยา มีรายได้เพียงฝ่ายเดียว มีการกู้ร่วมกัน หากทำการยื่นแบบแสดงรายได้และเสียภาษีร่วมกัน จะสามารถลดหย่อนได้ตามจริง ไม่เกิน 100,000 บาท
  2. กรณีฝ่ายสามีและภรรยา มีรายได้ทั้งสองฝ่าย มีการกู้ร่วมกัน หากทำการยื่นแบบแสดงรายได้และเสียภาษีรวมกัน จะคล้ายกับกรณีการกู้ร่วม ซึ่งสามารถลดหย่อนได้ตามจริง ไม่เกิน 100,000 บาท
  3. กรณีฝ่ายสามีและภรรยา มีรายได้ทั้งสองฝ่าย มีการกู้ร่วมกัน หากทำการยื่นแบบแสดงรายได้และเสียภาษีแบบแยกยื่น จะต้องเฉลี่ยสัดส่วนของดอกเบี้ยเป็น 2 ส่วนที่เท่ากัน รวมกันสูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท
  4. กรณีฝ่ายสามีและภรรยา มีรายได้ทั้งสองฝ่าย แยกยื่นกู้ แต่ยื่นแบบแสดงรายได้และเสียภาษีรวมกัน จะสามารถลดหย่อนได้ตามจริง ฝ่ายละไม่เกิน 100,000 บาท
  5. กรณีฝ่ายสามีและภรรยา มีรายได้ทั้งสองฝ่าย แยกยื่นกู้ และยื่นแบบแสดงรายได้และเสียภาษีแบบแยกยื่นจะสามารถลดหย่อนได้ตามจริง ฝ่ายละไม่เกิน 100,000 บาท

หลักฐานในการใช้ดอกเบี้ยบ้านเพื่อลดหย่อนภาษี

โดยปกติแล้วทุกงวดการชำระสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยจะมีใบเสร็จที่แจกแจงเงินต้นและดอกเบี้ยระบุมาให้อย่างชัดเจนแล้ว สำหรับใครที่เก็บใบเสร็จส่วนนี้ก็สามารถนำยอดดอกเบี้ยบ้านในแต่ละเดือนมารวมกันแล้วกรอกเป็นค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยบ้านไปได้เลย แต่ตามหลักที่ถูกต้องควรขอหนังสือรับรองดอกเบี้ยเงินกู้จากธนาคาร หรือสถาบันการเงินที่ทำการขอสินเชื่อ เพื่อนำมาใช้เป็นเอกสารยืนยันการชำระเบี้ยที่ถูกต้อง โดยเอกสารจะสรุปรวมยอดดอกเบี้ยบ้านมาเป็นก้อนเดียวทั้งปีที่สามารถนำไประบุเป็นค่าใช้จ่ายได้อย่างชัดเจน ซึ่งปัจจุบันหลายๆ ธนาคารได้อำนวยความสะดวกให้ลูกค้าได้ทำการขอหนังสือรับรองดอกเบี้ยในช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ หรืออีเมล ได้อย่างสะดวก

ใครที่เพิ่งเริ่มผ่อนสินเชื่อบ้านไป หลังจากอ่านบทความนี้แล้วต้องรีบกลับไปสำรวจดอกเบี้ยบ้านที่ได้ชำระไปทั้งปีเพื่อนำไปขอลดหย่อนภาษีประจำปีกัน แต่ถ้าใครกำลังมองหาบ้านใหม่ และกำลังวางแผนในการกู้ขอสินเชื่อ อารียาขอแนะนำโครงการหลากหลายทำเล ให้คุณได้มีโอกาสเป็นเจ้าของบ้านใหม่สักหลัง ลองแวะเข้ามาชมโครงการบ้านจากอารียาได้ ที่นี่

ขั้นตอนตรวจรับบ้านด้วยตัวเอง ฉบับคนงบน้อย

ตรวจรับบ้านด้วยตัวเอง ฉบับคนงบน้อย

“กำลังจะตรวจรับบ้าน แต่ไม่อยากเสียเงินค่าจ้างตรวจ” ใครบ้างที่กำลังประสบปัญหานี้

ขั้นตอนในการตรวจรับบ้าน / ตรวจรับคอนโด จะอยู่ในช่วงสุดท้ายก่อนการเซ็นรับมอบความเป็นเจ้าของของผู้ที่ซื้อบ้าน หรือซื้อคอนโด ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญและต้องให้ความใส่ใจเป็นพิเศษ เพื่อตรวจเช็กสภาพบ้านว่าอยู่ในสภาพสมบูรณ์ก่อนส่งมอบหรือไม่ การดำเนินการตรวจบ้านโอนบ้าน จึงควรตรวจเช็กทุกจุดอย่างละเอียด หากใครเพิ่งเคยซื้อบ้านหลังแรก และไม่มีความรู้ด้านงานสถาปนิกหรือการก่อสร้างก็สามารถเลือกใช้บริการการตรวจรับบ้านจากสถาปนิก หรือผู้เชี่ยวชาญ โดยราคาสำหรับการจ้างตรวจบ้านโอนบ้านจะเริ่มต้นที่ประมาณ 3,000 บาทต่อครั้ง ซึ่งอาจจะมากหรือน้อยกว่าขึ้นอยู่กับพื้นที่และจำนวนครั้งในการเข้าตรวจด้วย ซึ่งค่าจ้างเหล่านี้ทำเอาหลายๆ คนเป็นกังวลเกี่ยวกับภาระค่าใช้จ่ายที่ต้องเกิดขึ้น แต่จะดีกว่าไหม! ถ้าคุณไม่ต้องเสียเงินในส่วนนี้ และสามารถตรวจรับบ้านได้ด้วยตัวเอง

วันนี้อารียามีเช็กลิสต์ที่จะช่วยทำให้การตรวจรับบ้าน หรือตรวจรับคอนโดนั้นไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป และสามารถตรวจรับบ้านได้ด้วยตัวเอง ก่อนการเซ็นรับมอบเป็นเจ้าของบ้านตัวจริง เพียงเตรียมความพร้อมด้วยการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับตรวจรับบ้าน หรือตรวจรับคอนโด และเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อมก่อนลุยตรวจบ้านเองตามเช็กลิสต์ ดังนี้

1. เตรียมความพร้อมก่อนไปตรวจรับบ้าน

  • ตรวจสอบรายละเอียดของสัญญาให้ถี่ถ้วน เพื่อใช้ตรวจสอบความถูกต้องของรายการต่างๆ ที่จะได้รับ
  • นัดวัน และเวลาเข้าตรวจรับบ้านกับโครงการ โดยช่วงเวลาที่ดีสำหรับการตรวจรับบ้านควรนัดช่วงเช้าถึงบ่าย ไม่ควรล่วงเลยถึงเย็น เพราะจะทำให้แสงเข้าถึงไม่เพียงพอและยากต่อการตรวจสอบ
  • การไปตรวจรับบ้านควรไปกันอย่างน้อย 2 คนขึ้นไป เพื่อจะได้ช่วยกันตรวจสอบในจุดต่างๆ ได้อย่างละเอียดมากขึ้น

2. อุปกรณ์ที่ควรเตรียมก่อนไปตรวจรับบ้าน

  • อุปกรณ์สำหรับจดบันทึก เพื่อระบุรายการจุดต่างๆ ที่ต้องแก้ไข และทำเช็กลิสต์เข้าตรวจรับในครั้งถัดไป
  • กระดาษ Post-it หรือ เทปกาว สำหรับแปะตามจุดต่างๆ เพื่อเตือนให้ช่างทราบว่าจุดดังกล่าวอยู่ในรายการที่ต้องแก้ไข
  • ไฟฉาย เพื่อใช้ส่องตามจุดอับและมุมมืดของบ้านให้เห็นรายละเอียดได้ชัดเจนขึ้น
  • ตลับเมตร สำหรับใช้วัดพื้นที่ตามสัญญาที่ได้ระบุขนาดไว้ ว่าตรงกันหรือไม่
  • ดินน้ำมัน / ถุงพลาสติก สำหรับใช้อุดรูระบายน้ำ เพื่อตรวจสอบการรั่วซึมของน้ำในห้องน้ำ
  • ถังน้ำ / สายยาง สำหรับตรวจสอบการรั่วซึมของน้ำตามขอบยางประตู หน้าต่าง และการระบายน้ำ
  • เหรียญสิบ สำหรับเคาะพื้นกระเบื้อง เพื่อตรวจสอบความแน่นของปูนกาวที่ใช้ปูพื้นกระเบื้อง
  • กระจกบานเล็ก สำหรับใช้ส่องดูจุดต่างๆ ที่อยู่เลยสายตา เช่น ขอบบานประตูด้านบน จุดอับสายตาอื่นๆ เป็นต้น
  • บันได สำหรับขึ้นไปตรวจสอบความเรียบร้อยของฝ้าและเพดาน (ติดต่อขอยืมโครงการ)
  • เครื่องตรวจสอบระบบไฟรั่ว / ไขควงวัดไฟ สำหรับตรวจสอบความผิดปกติของระบบไฟ และเต้ารับไฟตามจุดต่างๆ ของบ้าน
  • ถุงมือยาง / รองเท้ายาง สำหรับใส่ป้องกันในการตรวจสอบระบบไฟ
  • ลูกแก้ว หรือลูกเหล็ก สำหรับทดสอบความลาดเอียงของพื้นตามจุดต่างๆ
  • ไม้ตรงยาวๆ หรือไม้บรรทัด สำหรับตรวจสอบความเป็นระนาบ และความเรียบของพื้นผิวและผนัง

3. วิธีตรวจรับบ้าน ควรตรวจส่วนไหนบ้าง

  • พื้นที่รอบบ้าน

การตรวจสอบควรไล่จากรั้วบ้าน และประตูรั้วว่าสามารถใช้ได้อย่างปกติหรือไม่ ดูการเชื่อมรั้วเหล็กที่สนิทไม่มีรู มีการทากันสนิม ระบบรางมีการเลื่อนปิดเปิดที่ไม่ลื่นหรือฝืดจนเกินไป พื้นที่ว่างรอบๆ บ้านมีการถมดิน และเดินท่ออย่างเรียบร้อย รวมถึงระบบการระบายน้ำจากตัวบ้านควรมีการระบายออกที่ดี เช็กสภาพพื้นของลานจอดรถ พื้นไม่ควรแตกร้าวหรือทรุดจากตัวบ้าน

  • โครงสร้างของบ้าน

ตรวจเช็กคานของบ้านไม่ควรโค้งงอ ผนังเป็นแนวตรงไม่เอียง เรียบเนียน ไม่มีรอยแตกร้าว วอลเปเปอร์ควรเรียบติดผนัง ไม่เป็นคลื่น และไม่มีคราบสกปรกหรือเชื้อรา เพราะอาจเกิดจากความชื้นอันเนื่องมาจากห้องน้ำ หรือมีการรั่วซึม ในส่วนของฝ้าและเพดาน หากเป็นฝ้าทีบาร์ต้องเรียบเสมอกันไม่มีช่องว่างระหว่างแผ่น หากเป็นฝ้าเพดานฉาบต้องเรียบไม่เห็นรอยยาแนวบริเวณรอยต่อ และสำหรับงานประตูหน้าต่าง วงกบต้องแน่นแนบผนัง มีบังใบ พร้อมใช้งานได้ปกติ ราวบันไดควรมีการติดตั้งที่แน่นหนาไม่โยก รวมถึงพื้นกระเบื้องต้องเคาะทุกแผ่นเพื่อให้มั่นใจว่าไม่เป็นโพรง

  • ระบบไฟฟ้า

การตรวจสอบควรเปิดไฟฟ้าในบ้านทั้งหมด เพื่อเช็กว่าไฟทุกดวงสามารถใช้งานได้เป็นปกติ ไม่มีดวงไหนที่ไม่ติดหรือไฟสว่างไม่เต็มที่ ส่วนปลั๊กไฟตามจุดต่างๆ ควรมีการเสียบเช็กการใช้งานทั้งหมด รวมถึงตรวจสอบการติดตั้งของโคมไฟ เต้ารับ เต้าเสียบทั้งหมดว่ามีการเดินสายไฟที่เป็นระเบียบเรียบร้อยหรือไม่

  • ระบบน้ำและอุปกรณ์

ควรมีการตรวจเช็กการใช้งานของก๊อกน้ำทุกจุด รวมถึงสุขภัณฑ์ เพื่อทดสอบการไหล และตรวจสอบการรั่วซึมของน้ำ รวมถึงการตรวจสอบมิเตอร์น้ำว่ามีการทำงานที่ปกติ หากปิดระบบน้ำทั้งหมดมิเตอร์น้ำต้องไม่หมุน หากยังหมุนอยู่แสดงว่ามีการรั่วไหลของน้ำในบางจุดที่ต้องรีบแก้ไข

อ่านมาถึงตรงนี้ นอกจากจะได้ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับเช็กลิสต์ และการเตรียมความพร้อมสำหรับการเข้าตรวจรับบ้าน หรือตรวจรับคอนโดด้วยตัวเองไปแล้ว ยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการจ้างตรวจรับบ้าน ทำให้ไม่ต้องเสียเงินในส่วนนี้เลย ถือว่าเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้มากทีเดียว

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังมองหาบ้านใหม่สำหรับครอบครัว ในราคาเริ่มต้นที่ 1.59 ล้านบาท* บนทำเลที่รายล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน และสะดวกสำหรับการเดินทาง อารียาขอนำเสนอโครงการบ้านที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของครอบครัวคนรุ่นใหม่ กับโครงการ THE COLORS (เดอะ คัลเลอร์ส) ทาวโฮมสองชั้นที่ฟังก์ชันเทียบเท่าบ้านเดี่ยว โดยเน้นพื้นที่ที่กว้างขวาง ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของทุกคนในครอบครัว บนทำเลเด่นรอบเมือง ได้แก่

นอกจากนี้ อารียายังมีโครงการบ้านดีๆ หลากหลายโครงการรอให้คุณได้ไปสัมผัส สามารถดูโครงการเพิ่มเติมได้ ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด ราคา 1.59 ล้าน เป็นราคาเริ่ม ณ วันที่  ของโครงการ เดอะ คัลเลอร์ส บางบัวทอง-340

บ้านสไตล์มินิมอล” หรือ “บ้านสไตล์ทรอปิคอล” บ้านแบบไหนที่ตรงใจคุณ

เมื่อบ้านไม่ได้เป็นเพียงแค่ที่อยู่อาศัย แต่ยังเปรียบเสมือนแกลเลอรีให้คุณได้แสดงผลงาน เผยเอกลักษณ์ และสะท้อนความเป็นตัวตนผ่านสไตล์การแต่งบ้านในแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการแต่งบ้านสไตล์มินิมอล, สไตล์ทรอปิคอล หรือสไตล์โมเดิร์น ก็ล้วนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับว่าคุณชื่นชอบบ้านสไตล์ไหน ในบทความนี้อารียาจะพาคุณมาทำความรู้จักบ้าน 2 สไตล์ นั่นก็คือ “บ้านสไตล์มินิมอล และ “บ้านสไตล์ทรอปิคอล” บ้านสองสไตล์ที่มีความโดดเด่นลุ่มลึกในแบบของตัวเอง และยังคงได้รับความนิยมนำมาใช้เป็นธีมหลักสำหรับการออกแบบและตกแต่งบ้านในปัจจุบัน โดยรายละเอียดของการแต่งบ้านสไตล์มินิมอล และบ้านสไตล์ทรอปิคอลจะเป็นอย่างไรบ้างนั้น ไปดูกันเลย!

บ้านสไตล์มินิมอล กับความน้อยแต่มาก

“Less is More” หรือ “น้อยแต่มาก” เป็นคำจำกัดความของบ้านสไตล์มินิมอล (Minimal) ที่เน้นการตกแต่งบ้านแบบเรียบง่าย ใช้เฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้น แต่มากไปด้วยฟังก์ชันและดีไซน์ที่ต้องดูไม่มากไม่น้อยจนเกินไป เพื่อทำให้บ้านสะอาดและเป็นระเบียบเรียบร้อย

เอกลักษณ์ของการแต่งบ้านสไตล์มินิมอล

  • น้อยแต่มาก
  • เน้นฟังก์ชันการใช้งาน
  • เน้นความเรียบ ไม่เน้นลวดลาย
  • ใช้ของตกแต่งที่ดีไซน์ทันสมัย หรือมีรูปทรงน่าสนใจ
  • เลือกใช้สีโมโนโทน หรือสีอ่อนๆ เช่น สีขาว สีเทาอ่อน สีเทาเข้ม
  • ให้ความสำคัญกับการใช้พื้นที่และแสงจากธรรมชาติ

หลายคนจึงอาจมองว่าบ้านสไตล์มินิมอลดูแลยาก เพราะในชีวิตจริงแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะสามารถจัดวางข้าวของให้เป็นระเบียบอยู่ตลอดเวลา แต่หมดห่วงได้เลยเพราะเรารวบรวมทางลัดมาให้คุณแล้ว เช็กลิสต์แต่งบ้านสไตล์มินิมอล

บ้านสไตล์มินิมอล เหมาะกับใคร

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ชอบความปลอดโปร่ง โล่งสบาย มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย มีความสุขใจที่ได้เห็นอะไรที่สะอาดสะอ้าน สบายตา ไม่ชอบอะไรรกรุงรัง และต้องคอยจัดการให้เรียบร้อยเสมอ เชื่อว่าคุณต้องชอบแบบบ้านสไตล์มินิมอลอย่างแน่นอน ด้วยความ “น้อยแต่มาก” ของการเป็นมินิมอลจะช่วยตอบโจทย์การมีบ้านในแบบที่คุณใฝ่ฝันได้เป็นอย่างดี เพราะการแต่งบ้านสไตล์มินิมอลที่ใช้เฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้น นอกจากดูสะอาดตาแล้ว ยังช่วยลดความเครียดในการจัดระเบียบข้าวของในบ้านได้ง่ายขึ้น ทำความสะอาดบ้านได้ง่ายกว่า แถมบ้านของคุณก็ยังดูโดดเด่นน่าดึงดูด อยู่อาศัยเองก็สุขใจ ใครผ่านไปมาก็สะดุดตาอีกด้วย

สำหรับคนที่กำลังมองหาบ้านสไตล์มินิมอล เตรียมพบกับ AREN X ‘บ้านเดี่ยว Modern Minimal รูปแบบใหม่’ ติดเมกาบางนา* โครงการใหม่จากอารียาที่มาพร้อมกับ Private Pool* สระว่ายน้ำส่วนตัวกลางบ้าน ที่ให้ทุก Pool Party ไปได้สุดกว่าที่เคย หากสนใจสามารถลงทะเบียน เพื่อเข้าชมโครงการก่อนใคร คลิก (จำนวนจำกัด)

บ้านสไตล์ทรอปิคอล ออกแบบชีวิตให้ชิดธรรมชาติ

บ้านสไตล์ทรอปิคอล (Tropical) เป็นสไตล์บ้านที่สร้างขึ้นมาให้กลมกลืนไปกับธรรมชาติและแมกไม้นานาพรรณ เมื่อหลับตาแล้วจินตนาการ จะทำให้คุณรู้สึกเหมือนอยู่ท่ามกลางธรรมชาติในป่าเขตร้อนชื้น แถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ความเป็นธรรมชาติเหล่านี้จะช่วยสร้างความผ่อนคลาย และทำให้รู้สึกถึงการได้พักผ่อนอย่างเต็มที่เมื่ออยู่ภายในบ้าน

เอกลักษณ์ของการแต่งบ้านสไตล์ทรอปิคอล

  • เลือกวัสดุที่ใช้ในการตกแต่งจากธรรมชาติ
  • เลือกใช้สีเอิร์ธโทน เพื่อทำให้รู้สึกถึงธรรมชาติ และรู้สึกอบอุ่น
  • เน้นใช้เฟอร์นิเจอร์ที่ทำมาจากไม้ หรือวัสดุธรรมชาติ
  • เน้นใช้สีไฟโทนอุ่น (Warm White) ให้เข้ากับบรรยากาศ
  • ปลูกต้นไม้ เพิ่มพื้นที่สีเขียวรอบบ้านทำให้ร่มเย็น
  • เน้นความโล่งโปร่ง เปิดรับแสง และลมได้ดี

จะเห็นได้ว่าเอกลักษณ์ของบ้านสไตล์ทรอปิคอลจะเน้นให้บ้านกลมกลืนกับธรรมชาติมากที่สุด การออกแบบทั้งโครงสร้างและวัสดุที่นำมาใช้ในการสร้างและตกแต่งบ้าน เช่น หิน ไม้ ศิลาแลง เป็นต้น จึงมีส่วนสำคัญในการแสดงออกถึงความเป็นสไตล์ทรอปิคอลได้อย่างชัดเจน เพื่อให้รู้สึกถึงความอบอุ่น สดชื่น และทำให้ใกล้ชิดธรรมชาติได้มากยิ่งขึ้น

บ้านทรอปิคอล เหมาะกับใคร

หากคุณเป็นผู้ชื่นชอบความเป็นธรรมชาติ ชอบความสบายตา เห็นสีเขียวของต้นไม้ใบหญ้าจะทำให้คุณรู้สึกถึงความผ่อนคลาย สดชื่น และมีชีวิตชีวาอยู่เสมอ นั่นแสดงว่าคุณเหมาะกับการมีบ้านในสไตล์ทรอปิคอล ที่จะช่วยทำให้ใช้ชีวิตร่วมกับธรรมชาติได้เป็นอย่างดี ซึ่งการสร้างบ้านในสไตล์ทรอปิคอล จะเน้นการออกแบบจากโครงสร้างด้วยการใช้วัสดุธรรมชาติบ้านเป็นหลัก ทำให้ตัวบ้านไม่ดูดความร้อน หรือการทาสีบ้านโทนธรรมชาติก็จะทำให้รู้สึกถึงความอบอุ่น รวมถึงการจัดสวนที่รายล้อมไปด้วยแมกไม้นานาพรรณทั้งนอกบ้าน และภายในตัวบ้าน ก็จะช่วยทำให้เกิดร่มเงาและความร่มเย็น ช่วยลดความเครียดจากการใช้ชีวิต พร้อมผ่อนคลายเสมอเมื่อกลับถึงบ้าน

ใครที่ชื่นชอบอยากมีบ้านสไตล์ทรอปิคอล ไม่ต้องมองหาที่ไหนไกล เพราะอารียามีโครงการบ้าน COMO BOTANICA ออกแบบชีวิตให้ชิดธรรมชาติ สัมผัสชีวิตสไตล์ Urban Botanical บนทำเลที่ดีที่สุดย่านบางนา เพียงคลิก ที่นี่ เพื่อดูข้อมูลโครงการเพิ่มเติม แล้วคุณจะได้บ้านในสไตล์ที่ตอบโจทย์อย่างแน่นอน

สร้างบ้านเองต้องรู้! วางผังบ้านทิศไหนดีที่สุด

จบปัญหาชวนสงสัย สร้างบ้านใหม่วางผังบ้านทิศไหนถึงจะเหมาะ ใครที่กำลังวางแผนสร้างบ้านเอง แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะเขียนผังบ้านอย่างไรดี วันนี้อารียาขอนำเสนอข้อมูลดีๆ เกี่ยวกับทิศของบ้านที่เหมาะสม และเสริมดวงชะตา เพิ่มความเป็นสิริมงคลแก่ผู้อยู่อาศัยตามหลักฮวงจุ้ยให้นำไปปรับใช้กัน โดยการวางแผนสร้างบ้านเอง นอกจากจะดูทิศของตัวบ้านเป็นหลักแล้ว การจัดวางแผนผังของห้อง หรือโซนต่างๆ ภายในตัวบ้านก็ควรจัดสรรให้เหมาะสมกับการใช้งานจริงควบคู่กับหลักตามฮวงจุ้ย ประกอบกับทิศทางของแสง และลมที่จะเข้ามาสู่ตัวบ้าน เพื่อให้บ้านที่สร้างได้อยู่อย่างร่มเย็น และมีความสุข บทความนี้จะมีคำแนะนำดีๆ เกี่ยวกับทิศของบ้านอย่างไรบ้าง ตามมาดูกันได้เลยค่ะ

ทิศหลักของตัวบ้าน

ผู้ที่กำลังวางแผนสร้างบ้านเองแล้วยังไม่แน่ใจว่าควรออกแบบให้บ้านหันไปทางทิศไหนนั้น อันดับแรกขอให้สังเกตแสงแดด และทิศทางลมเป็นสำคัญ เพราะแสงแดดและลมจะเป็นตัวกำหนดอุณหภูมิโดยรวมของบ้าน ซึ่งปกติแล้วแสงแดดจะมาจากทางทิศตะวันออก ซึ่งจะเป็นแดดอ่อนๆ ยามเช้า ส่วนทิศตะวันตกจะเป็นแดดที่ค่อนข้างร้อนในช่วงบ่าย ส่วนทิศทางของลมตามหลักแล้วจะมาจากทางทิศเหนือและทิศใต้ในทางที่ตรงข้ามกัน มาดูกันว่าทิศหลักของบ้าน หันทิศไหนดีอย่างไร

  • หันตัวบ้านไปทิศเหนือ โดนแดดค่อนข้างน้อย มีลดพัดตลอดทั้งปี
  • หันตัวบ้านไปทิศใต้ โดนแดดช่วงเที่ยงมีลมพัด อากาศถ่ายเทตลอดทั้งปี
  • หันตัวบ้านไปทิศตะวันออก โดนแดดอ่อนยามเช้า จะเริ่มร้อนช่วงเที่ยง และรับลมช่วงฤดูหนาว
  • หันตัวบ้านไปทิศตะวันตก ไม่โดนแดดในช่วงเช้า ช่วงบ่ายและเย็นจะรับแสงแดดเต็มๆ

ทั้งนี้แต่ละทิศมีข้อดีที่แตกต่างกันออกไป ควรเลือกให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต เช่น เป็นคนตื่นสาย ชอบกลับบ้านดึก ก็สามารถสร้างบ้านหันไปในทิศต่างๆ ได้ ยกเว้นทิศตะวันออกเพื่อเลี่ยงแสงแดดยามเช้า ทำให้พักผ่อนได้อย่างเต็มที่ เป็นต้น

ทิศของที่จอดรถและห้องเก็บของ

เริ่มจากตำแหน่งแรก ที่จอดรถและห้องเก็บของ ควรตั้งอยู่ในทิศตะวันตกเฉียงใต้ เพื่อเป็นป้อมปราการป้องกันความร้อนไม่ให้ทะลุเข้ามาสู่ตัวบ้านได้ แต่ควรมีช่องระบายอากาศ เพื่อให้ถ่ายเทได้ดี ไม่กักเก็บฝุ่น หรือควันที่อาจจะก่อความเสียหายให้กับทรัพย์สินในบริเวณนั้น นอกจากนี้บริเวณห้องที่จอดรถและห้องเก็บของควรมีชายคายื่นออกมามากเป็นพิเศษ เพื่อช่วยป้องกันแสงแดดยามบ่าย และป้องกันฝนที่จะสาดเข้ามายังตัวบ้านด้วย

ทิศของห้องรับแขกและห้องทำงาน

การวางตำแหน่งของห้องรับแขกและห้องทำงาน ควรตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อรับแสงแดดในยามเช้าที่ไม่ร้อนแรงจนเกินไป ทำให้รู้สึกสดชื่น พร้อมต้อนรับแขกผู้มาเยือน และพร้อมสำหรับการทำงานในวันใหม่ พอตกบ่ายแสงแดดจะไม่สามารถสาดเข้ามาถึง จึงสามารถนั่งเล่นหรือทำงานได้อย่างผ่อนคลาย

ทิศของห้องรับประทานอาหาร

ทิศทางของห้องรับประทานอาหารนั้น ควรตั้งทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ เนื่องจากการวางแปลนห้องรับประทานอาหารในทิศทางนี้จะสามารถรับลมจากทางทิศใต้เพื่อระบายอากาศ และกลิ่นอาหารออกไปได้ง่ายขึ้น ซึ่งห้องรับประทานอาหารและห้องครัวสามารถอยู่ในโซนเดียวกันหรือติดกันได้

ทิศของห้องนอน

โซนห้องนอนที่ดีควรอยู่ทางทิศเหนือ เพื่อรับแสงแดดอ่อนๆ ยามเช้า ตั้งแต่เวลา 06:30 – 9:00 น. การวางห้องนอนทางทิศเหนือจะไม่สะสมความร้อน สามารถนอนพักผ่อน และตื่นสายได้อย่างเต็มอิ่ม ส่วนช่วงกลางคืนก็ไม่ร้อนทำให้นอนหลับได้อย่างสบายเช่นกัน และในช่วงหน้าหนาวยังมีลมเย็นพัดโชยเข้ามาจากทางทิศเหนืออีกด้วย

ทิศของห้องน้ำ ห้องครัว และพื้นที่ซักล้าง

สุดท้ายห้องน้ำ ห้องครัว และส่วนของพื้นที่ซักล้างควรจัดโซนไว้ทางทิศตะวันตก เพราะแสงแดดยามบ่ายที่ร้อนแรงจะเป็นตัวช่วยในการฆ่าเชื้อโรค และลดกลิ่นอับที่ไม่พึงประสงค์ นอกจากนี้ยังเป็นโซนที่ช่วยกำบังแสงแดดไม่ให้เข้าสู่ตัวบ้านได้ จึงควรเพิ่มความยาวของกันสาดให้ยื่นยาวออกไป เพื่อป้องกันแดดและฝนด้วย

ผู้ที่วางแผนในการสร้างบ้านใหม่ หรือบ้านหลังแรก ที่เน้นสร้างเองในแบบที่ต้องการ และกำลังอยู่ในช่วงการออกแบบและวางผังห้องต่างๆ สามารถศึกษาได้ทั้งหลักฮวงจุ้ยบ้าน และตามหลักของทิศทางแสงแดดและลม ประกอบกันไปทุกด้านจึงจะดีที่สุด ส่วนใครที่อยากได้บ้านแบบสร้างเอง ไม่เหมือนใคร แต่ไม่มีความชำนาญด้านการออกแบบและการก่อสร้าง อารียาขอนำเสนอโครงการบ้านสั่งสร้าง A-Edition บ้านในแบบฉบับชีวิตที่คุณกำหนดเอง ไม่ว่าจะเลือกแบบไหนเราก็สามารถออกแบบให้ในแบบที่คุณต้องการได้ ด้วยทีมงานมืออาชีพที่จะช่วยรังสรรค์บ้านของคุณในแบบฉบับที่คุณต้องการ โดยสามารถดูรายละเอียดโครงการบ้านสั่งสร้าง A-Edition จากทางอารียาเพิ่มเติมได้ ที่นี่

อัปเดตเทรนด์แต่งบ้านสไตล์มินิมอล

Minimal Style เป็นสไตล์ของความเรียบง่ายที่ถูกนำมาปรับใช้กับการออกแบบและตกแต่งบ้านในปัจจุบัน โดยการแต่งบ้านสไตล์มินิมอลมีรากฐานมาจากรูปแบบของงานศิลปะ Minimalism ที่ผสมผสานกับวิถีชีวิต ซึ่งสื่อออกมาในแง่สถาปัตยกรรม จนสะท้อนเป็นความเรียบง่ายผ่านการตกแต่งรูปแบบ พื้นที่ รายละเอียด และการใช้สี โดยการออกแบบในสไตล์มินิมอลที่เรียบง่ายเหล่านี้จะช่วยดึงเอกลักษณ์และความโดดเด่นออกมาได้ชัดเจน จนทำให้การแต่งบ้านสไตล์มินิมอลเป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลาย

เทรนด์การแต่งบ้านสไตล์มินิมอล

การแต่งบ้านสไตล์มินิมอล (Minimal) เป็นสไตล์ที่เน้นความเรียบง่ายอย่างแท้จริง หรือที่เรียกกันติดปากว่า “น้อยแต่มาก (Less is More)” ซึ่งเป็นคอนเซปต์ที่อธิบายได้อย่างตรงตัว การแต่งบ้านสไตล์มินิมอลจะเน้นทุกอย่างที่น้อยชิ้น เฟอร์นิเจอร์มักถูกจัดวางอย่างลงตัว ข้าวของเครื่องใช้ที่ไม่จำเป็นจะถูกจัดเก็บอย่างเป็นระเบียบ ทุกอย่างในบ้านจะดูโปร่งโล่ง ไม่อึดอัด ถ้าใครยังนึกภาพไม่ออกว่าเทรนด์การแต่งบ้านสไตล์มินิมอล หรือแต่งห้องสไตล์มินินอลเป็นอย่างไร ตามมาดูกันเลย

เคลียร์พื้นที่ให้โล่ง

อันดับแรกของการแต่งบ้านสไตล์มินิมอลที่จะตอบโจทย์ความเป็นมินิมอลได้ดีที่สุดคือ การออกแบบบ้านให้เหลือพื้นที่ใช้สอยมากที่สุด เพราะฉะนั้นข้าวของที่ไม่จำเป็นจึงควรเคลียร์ทิ้ง หากเป็นไปได้ควรหาที่จัดเก็บที่อื่นเพื่อไม่ให้รกสายตา ก่อนจะเริ่มตกแต่งบ้านสไตล์มินิมอลจึงควรคำนึงถึงข้อนี้เป็นสำคัญ

การเลือกโทนสีกลาง

การเลือกโทนสีของห้อง หรือการเลือกวอลเปเปอร์ในสไตล์มินิมอลมักเน้นโทนสีที่เป็นสีกลาง เช่น ขาว ดำ หรือเทา จะทำให้ห้องดูโล่งกว้าง หรือใช้วัสดุในการตกแต่งที่เป็นไม้สีเหลืองอ่อน ก็จะช่วยทำให้ห้องมีความซอฟท์ และดูอบอุ่นขึ้น

เฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้นแต่เน้นคุณภาพ

การเลือกเฟอร์นิเจอร์สำหรับการแต่งบ้านสไตล์มินิมอล ควรเลือกซื้อเท่าที่จำเป็น อาจมีฟังก์ชันหลากหลายเพื่อตอบโจทย์การใช้งาน แต่ดีไซน์โดยรวมควรดูเรียบง่าย ไม่หวือหวา เพราะอาจไม่เข้ากับความเป็นมินิมอล และทำให้เบื่อง่าย วัสดุที่ใช้ทำเฟอร์นิเจอร์จึงควรเลือกวัสดุที่มีคุณภาพ แข็งแรงทนทาน และสามารถใช้งานได้ในระยะยาว

เก่าไป ใหม่มา

เป็นกฎของการสับเปลี่ยนของ “เก่าไป ใหม่มา” ที่เข้ากับความมินิมอล หากมีการซื้อเฟอร์นิเจอร์หรือของตกแต่งห้องมาใหม่ ควรนำของเก่าที่ถูกแทนที่ออกจากห้องไปเก็บที่อื่นหรือเลือกส่งต่อให้กับคนที่จะได้ใช้ประโยชน์สิ่งนั้น เพื่อให้ตรงกับคอนเซปต์ความน้อยชิ้นให้มากที่สุด

เสริมความเป็นธรรมชาติ

การเพิ่มแสงและเงาให้เข้ามาสู่ตัวห้องและบ้าน ด้วยการปรับเปลี่ยนประตูหน้าต่างแบบทึบให้เป็นกระจก จะช่วยทำให้แสงสามารถเข้ามาสู่ตัวบ้านได้อย่างทั่วถึง รวมถึงการหาต้นไม้ฟอกอากาศไว้ตามจุดต่างๆ ของห้อง ก็ช่วยสร้างความอบอุ่น และบรรยากาศความเป็นมินิมอลได้ดียิ่งขึ้น

การแต่งบ้านสไตล์มินิมอลถูกนำมาปรับใช้กับโครงการบ้าน เพื่อตอบโจทย์ผู้อยู่อาศัยที่ชื่นชอบความเรียบง่ายในสไตล์มินิมอล โดยอารียาเองได้มีการหยิบส่วนผสมของความเป็นมินิมอลแต่ละสไตล์มารวมกันจนกลายเป็น “Areeya The Minimal Serie” โครงการบ้านสไตล์มินิมอล 3 สไตล์ ที่สะท้อนความเป็นตัวตนออกมาได้อย่างชัดเจน มาดูกันว่าคอนเซปต์ของการแต่งบ้านสไตล์มินิมอลจากอารียา จะมีการตีความและสร้างความแตกต่างในความมินิมอลได้อย่างไรบ้าง

การแต่งบ้านสไตล์มินิมอลจากอารียา

  • Minimal Eco Living

การออกแบบบ้านที่อยู่ภายใต้คอนเซปต์ “Canvas of life – ผืนผ้าใบแห่งชีวิต” ที่จะทำให้ผู้อาศัยได้พบกับความเรียบง่าย มาพร้อมกับฟังก์ชันการใช้สอยที่ถูกออกแบบให้สอดคล้องกับการใช้ชีวิตประจำวันที่ผสมผสานความมินิมอล และความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมกับโครงการ COMO Bianca บนทำเลติดเมกาบางนา ดูข้อมูลเพิ่มเติมคลิกที่นี่

  • Modern Minimal

การออกแบบบ้านภายใต้คอนเซปต์ “Madly Minimal – ตอบโจทย์คนที่หลงใหลความมินิมอลแบบสุดทาง” เป็นการออกแบบที่เน้นสไตล์ Modern Minimal ที่เกิดจากการผสมผสานระหว่างความมินิมอลและความโมเดิร์นให้เข้ากับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ โดยเน้นความมินิมอลแบบสุดโต่งด้วยการใช้สีขาวทั้งภายในและภายนอก เพิ่มความมีชีวิตชีวาให้กับบ้านด้วย Courtyard สวนส่วนตัวกลางบ้าน ทำให้มีพื้นที่อิสระในการพักผ่อนและต่อยอดความคิดสร้างสรรค์ให้เกิด Inspiration แบบไร้ขีดจำกัด อย่างโครงการ AREN X บ้านเดี่ยวมินิมอลรูปแบบใหม่ ที่มาพร้อมกับ Private Pool*, Private Courtyard* และ Private Barcony ทำให้คุณไปได้สุดกับชีวิตมินิมอลในโซนบางนา ดูข้อมูลเพิ่มเติมคลิกที่นี่

  • Minimal Cozy

การออกแบบและแต่งบ้านสไตล์มินิมอลที่เน้นให้ความอบอุ่น เรียบง่าย ตามคอนเซปต์ “Happiness is Simple – ความสุขที่แท้นั้นง่ายดาย” การออกแบบในสไตล์ Minimal Cozy นี้ มาพร้อมช่องแสงธรรมชาติขนาดใหญ่ และดีไซน์ฟังก์ชันที่คราฟท์ทุกรายละเอียด สื่อถึงความเรียบง่าย ธรรมดา แต่แฝงไปด้วยพลังของความอบอุ่น เพื่อเติมเต็มความสุขของทุกคนในบ้าน และตอบโจทย์บ้านหลังแรกที่จะมอบความสุขสำหรับครอบครัว พบการแต่งบ้านสไตล์มินิมอลในรูปแบบ Minimal Cozy ได้กับโครงการ Nora (โนระ) ทาวน์โฮมบน 2 ทำเลคุณภาพ บางนา และกาญจนาภิเษก-ราชพฤกษ์ ติดเมกาบางนา ดูข้อมูลเพิ่มเติมคลิก ที่นี่

การมีบ้านที่ตอบโจทย์จะทำให้ผู้อยู่อาศัยมีความสุข สำหรับใครที่มีบ้านอยู่แล้วแต่อยากปรับให้เข้ากับสไตล์มินิมอลก็สามารถทำได้ เพียงทำความเข้าใจกับความเป็นมินิมอล และรู้หลักในการตกแต่งบ้านสไตล์มินิมอลสักหน่อยว่าต้องทำอย่างไรบ้าง คุณก็สามารถมีบ้านในสไตล์มินิมอลได้เช่นกัน รับชมบ้านสไตล์มินิมอลหรือค้นหาบ้านที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคุณเพิ่มเติมได้ ที่นี่

ประกันภัยบ้านมีอะไรบ้าง จำเป็นมากแค่ไหน???

การทำประกันภัยบ้านถือว่าเป็นการซื้อความสบายใจ นอกจากจะช่วยป้องกันความเสี่ยงที่ไม่คาดคิด และเหตุการณ์ที่ควบคุมไม่ได้แล้ว หากเกิดภัยต่างๆ ขึ้นมา เช่น ภัยพิบัติ และภัยทางธรรมชาติ ประกันภัยบ้าน นอกจากจะช่วยคุ้มครองความเสียหายที่เกิดขึ้น ยังช่วยให้คุณไม่ต้องแบกรับความเสี่ยงคนเดียวหากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน ซึ่งความสำคัญและรายละเอียดของประกันภัยบ้านรูปแบบต่างๆ มีดังนี้

ประกันภัยบ้าน ใครว่าไม่สำคัญ

โดยปกติแล้วบ้านใหม่มักจะมาพร้อมประกันภัยอยู่แล้ว เพื่อป้องกันความเสียหายจากไฟไหม้ น้ำท่วม หรือว่าภัยอื่นๆ ซึ่งประกันภัยในส่วนนี้เป็นไปตามข้อบังคับของกฎหมาย เมื่อทำการกู้สินเชื่อบ้านกับธนาคารจะต้องทำประกันภัยบ้านควบคู่ไปพร้อมกัน และหลีกเลี่ยงไม่ได้

ประกันภัยบ้านกับสิทธิประโยชน์ที่ให้คุณอุ่นใจ

การคุ้มครองของประกันภัยบ้านนั้น จะครอบคลุมทั้งทรัพย์สิน และการคุ้มครองที่พักชั่วคราวไม่ว่าจะเป็นความเสียหายจากไฟไหม้ ฟ้าผ่า การระเบิด การถูกชนด้วยยานพาหนะทั้งทางบกและทางอากาศ หรือภัยเนื่องจากน้ำ นอกจากนี้ยังสามารถซื้อความคุ้มครองในส่วนของภัยเกี่ยวกับ น้ำท่วม พายุ และแผ่นดินไหว เพิ่มเติมได้ด้วย

ทำความรู้จักกับรูปแบบประกันภัยให้มากขึ้นกันเถอะ

ประกันภัยบ้านจะมีทั้งแบบภาคบังคับตามกฎหมายที่ต้องซื้อพร้อมกับบ้านแล้ว ยังมีประกันภัยบ้านส่วนเพิ่มเติมอื่นๆ ที่สามารถคุ้มครองบ้านได้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น โดยจะถูกแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้

1. ประกันอัคคีภัย

ประกันอัคคีภัยเป็นประกันภัยบ้านที่กฎหมายบังคับให้ต้องมี โดยจะเป็นการคุ้มครองตัวบ้าน แต่ไม่คุ้มครองที่ดิน สามารถแบ่งความคุ้มครองภัยได้ 3 ประเภทหลักๆ ได้แก่ ภัยจากแก๊สหุงต้มรั่ว ภัยจากฟ้าผ่าหลังคา และภัยจากไฟไหม้บ้าน

2. ประกันภัยพิบัติ

ประกันส่วนนี้กฎหมายไม่ได้บังคับ แต่มีไว้เพื่อป้องกันภัยก็ทำให้อุ่นใจ โดยจะครอบคลุมเรื่อง น้ำท่วม ลูกเห็บตก และแผ่นดินไหว ซึ่งจะมีเงื่อนไขดังนี้

ภัยพิบัติต้องประกาศโดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ตามคำแนะนำของกระทรวงมหาดไทยเท่านั้น ทั้งนี้ ต้องเป็นภัยพิบัติรุนแรง เจ้าของบ้านถึงจะเอาเบี้ยประกันได้

  • แผ่นดินไหว ต้องมากกว่าระดับ 7 ริกเตอร์ขึ้นไป
  • ลมพายุ ต้องมีความเร็วของพายุตั้งแต่ 120 กม./ชั่วโมงขึ้นไป
  • ในกรณีที่บ้านอยู่ใกล้ริมน้ำ ทางน้ำผ่าน ใกล้สถานที่กักเก็บและรองรับน้ำ จะไม่สามารถเรียกร้องค่าเสียหายจากกรมธรรม์ได้ เพราะถือว่าไม่เข้าข่ายลักษณะภัยพิบัติที่เกิดขึ้นจากภัยธรรมชาติ

3. ประกันภัยคุ้มครองการโจรกรรม

ประกันภัยประเภทนี้นอกจากจะคุ้มครองตัวบ้านแล้ว ยังคุ้มครองทรัพย์สินอีกด้วย เช่น ขโมยขึ้นบ้าน เป็นต้น

ประกันภัยบ้านทั้ง 3 แบบที่กล่าวมาข้างต้น ผู้รับประกัน หรือธนาคารแต่ละแห่งจะมีเงื่อนไขที่แตกต่างกันออกไป ผู้เอาประกันควรอ่านเงื่อนไขให้ละเอียดก่อนการทำประกันภัย

ทุนประกันภัยบ้าน ควรซื้อเท่าไร

การซื้อประกันภัยสำหรับที่อยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็น บ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม โฮมออฟฟิศ หรือคอนโด จะมีราคากลางมาตรฐานที่ทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) คอยกำกับดูแล เพื่อไม่ให้มีความเหลื่อมล้ำทางด้านราคาของผู้รับประกันแต่ละราย  ซึ่งทุนประกันที่ควรทำ หรือวงเงินที่คุ้มครองนั้น ไม่ควรต่ำกว่า 70% ของมูลค่าบ้านและทรัพย์สิน

ยกตัวอย่าง เช่น บ้านพร้อมที่ดิน มูลค่า 1,000,000 บาท ควรซื้อทุนประกันไม่ต่ำกว่า 700,000 บาท หากในกรณีที่เกิดความเสียหายบางส่วนของบ้าน ก็จะได้รับเงินชดเชยเช่นเดียวกับทุนประกันเต็มมูลค่าที่ 700,000 บาทนั่นเอง แต่ถ้าทำทุนประกันต่ำกว่าที่กำหนด เช่น 600,000 บาท หรือ 60% ของมูลค่าทรัพย์สิน หากเกิดความเสียหายบางส่วนของบ้าน และถูกประเมินความเสียหายในราคา 300,000 บาท คุณจะได้รับสินไหมทดแทนเพียง 60% ของราคาประเมินความเสียหาย หรือ 180,000 บาทเท่านั้น การเลือกซื้อทุนประกันที่เหมาะสมจึงควรซื้อให้ครอบคลุมความเสียหายตามมูลค่าทรัพย์สินดีที่สุด

ค่าเบี้ยประกันภัยบ้าน

ค่าเบี้ยประกันภัยบ้านจะขึ้นอยู่กับประเภทของที่อยู่อาศัย และอ้างอิงจากวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างหรือตกแต่ง รวมถึงราคาวัสดุก่อสร้าง ซึ่งจะถูกจำแนกออกมาเป็นอาคารไม้ และอาคารปูน บ้านแฝด และบ้านเดี่ยว/บ้านเดี่ยว 2 ชั้น โดยการชำระค่าเบี้ยประกันภัยบ้านจะชำระเป็นแบบรายปี แต่สามารถเลือกซื้อแบบราย 2 ปี หรือ 3 ปี ก็จะมีส่วนลดค่าเบี้ยประกันให้ด้วย ซึ่งทุนประกัน 1 ล้านบาท เบี้ยประกันจะอยู่ที่ประมาณ 1,000-3,000 บาท ทุนประกัน 2 ล้านบาท เบี้ยประกันจะอยู่ที่ประมาณ 2,000-5,000 บาท และทุนประกัน 3 ล้านบาท เบี้ยประกันจะอยู่ที่ประมาณ 3,000-8,000 บาท เป็นต้น

จะเห็นได้ว่าการทำประกันภัยบ้านนั้น มีราคาที่ต้องจ่ายไม่สูงมากนัก เมื่อเทียบกับความคุ้มครองที่ได้รับหากเกิดเหตุที่ไม่คาดคิด นอกจากประกันภัยภาคบังคับแล้ว เป็นไปได้ควรซื้อประกันภัยบ้านในส่วนอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น ประกันภัยคุ้มครองกรณีน้ำท่วม พายุ ลูกเห็บ แผ่นดินไหว ภัยพิบัติต่างๆ ที่ไม่คาดคิด เป็นต้น เพื่อเพิ่มความคุ้มครองให้ครอบคลุม ก็จะช่วยทำให้ผู้อยู่อาศัยอุ่นใจ และไม่แบกภาระคนเดียวหากเกิดภัยต่างๆ ขึ้นกับที่อยู่อาศัย

หากคุณกำลังมองหาบ้านหรือคอนโด อารียาขอนำเสนอโครงการบ้านและทาวน์โฮมโครงการใหม่ โซนบางนา,​ โซนรังสิตโซนเกษตร นวมินทร์โซนรามอิทราหทัยราษฎร์ และ โซนนนทบุรี สามารถเข้ามาชมโครงการบ้านที่น่าสนใจได้ ที่นี่ เพื่อการวางแผนซื้อประกันภัยบ้านในขั้นตอนถัดไป อารียาขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้คุณมีบ้านในแบบที่ชอบ และอุ่นใจไปพร้อมประกันภัยบ้านที่จะคอยคุ้มครองความเสี่ยงภัยที่จะเกิดกับบ้านได้อย่างวางใจ

สรุป ข้อดี-ข้อเสีย ของการใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV Car)

สรุป ข้อดี-ข้อเสีย ของการใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV Car)

ในช่วงที่ผ่านมาหลายคนคงได้เห็นรถยนต์ไฟฟ้าตามท้องถนนบ้านเรากันมากขึ้น แต่ด้วยตัวเลือกที่ยังไม่หลากหลายทั้งในเรื่องดีไซน์ และราคา เพราะรถยนต์ไฟฟ้าคันหนึ่งมีราคาค่อนข้างสูง ไหนจะค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ยังต้องผ่อนบ้าน จ่ายค่าบัตรเครดิตแต่ละเดือน หรือค่าเทอมลูก จึงทำให้ใครหลายคนยังลังเลไม่กล้าตัดสินใจซื้อ วันนี้อารียาเลยมีข้อสรุปของการใช้รถยนต์ไฟฟ้ามาเสนอ มีอะไรบ้างนั้น ไปดูกัน

รถยนต์ไฟฟ้า คืออะไร

รถยนต์ไฟฟ้า คือ รถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานจากไฟฟ้า 100% โดยเป็นการใช้พลังงานที่เก็บอยู่ในแบตเตอรี่หรืออุปกรณ์เก็บพลังงานไฟฟ้ารูปแบบต่างๆ ของค่ายรถยนต์ที่พัฒนาเทคโนโลยีภายใต้แบรนด์ของตัวเอง ซึ่งปัจจุบันเราสามารถแบ่งประเภทการใช้งานไฟฟ้าได้ 3 ประเภท ดังนี้

  1. HEV : Hybrid Electric Vehicle หรือ “รถยนต์ไฮบริด” ที่หลายคนคุ้นหู เป็นรถยนต์ไฟฟ้าแบบลูกผสม ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง และมอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อนไปพร้อมกัน
  2. PHEV : Plug-in Hybrid Electric Vehicle หรือ “รถยนต์ปลั๊กอิน-ไฮบริด” เป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่มีความสามารถคล้ายกับรถยนต์ไฮบริด แตกต่างกันตรงที่สามารถเสียบปลั๊กชาร์จไฟได้จากภายนอก หรือ Plug-in
  3. PEVs : Plug-in Electric Vehicles คือ รถยนต์ไฟฟ้า 100% ใช้เพียงแบตเตอรี่ขนาดใหญ่เป็นพลังงานไฟฟ้าอย่างเดียวในการขับเคลื่อน สามารถวิ่งได้ระยะทางไกลต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง และเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ไม่มีการปล่อยมลพิษ หรือ Zero Emission

ข้อดีของรถยนต์ไฟฟ้า

1. เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

เนื่องจากรถยนต์ไฟฟ้าใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่เพียงอย่างเดียว ทำให้ไม่มีการปล่อยของเสียทั้งในรูปแบบก๊าซที่เป็นควันและเขม่าผง ซึ่งเป็นมลพิษทางอากาศ

2. ประหยัดค่าใช้จ่าย

เหตุผลอันดับต้นๆ ที่ทำให้เราเปลี่ยนมาเลือกใช้รถยนต์ไฟฟ้า เพราะเมื่อเทียบค่าน้ำมันจะเฉลี่ยอยู่ราวๆ ลิตรละ 30-40 บาท จะสามารถขับขี่ได้ระยะทางประมาณ 10-24 กิโลเมตร/ลิตร ส่วนรถยนต์ไฟฟ้ามีค่าใช้จ่ายในการชาร์จต่อครั้งอยู่ที่ 2.6369 – 7.5 บาท/หน่วย ซึ่ง 1 หน่วยสามารถวิ่งได้ระยะทางราวๆ 4-7 กิโลเมตร ถือว่าประหยัดค่าน้ำมันไปได้มากเลยทีเดียว
นอกจากนี้ รถยนต์ไฟฟ้ามีค่าใช้จ่ายซ่อมบำรุงรักษาน้อยกว่า เนื่องจากไม่มีเครื่องยนต์ และไม่ต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง จึงทำให้การดูแลรักษาง่ายกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงทั่วไป

3. เงียบและเร็ว

เนื่องจากกลไกในการขับเคลื่อนไม่ต้องใช้การจุดระเบิดเพื่อเผาไหม้ จึงทำให้ไม่มีเสียงเครื่องยนต์ขณะใช้งาน และการใช้มอเตอร์ไฟฟ้าทำให้มีแรงบิดมากกว่า อัตราการเร่งจึงดีกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมัน

ข้อเสียของรถยนต์ไฟฟ้า

1. จุดชาร์จไฟ

ถึงแม้ปัจจุบันรถยนต์ไฟฟ้าจะมีความนิยมสูงขึ้น แต่จุดชาร์จไฟยังไม่ครอบคลุมทุกพื้นที่ และระยะเวลาในการชาร์จยังต้องใช้เวลานานกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันอยู่เล็กน้อย

2. ระยะในการขับขี่

เนื่องจากพลังงานที่รถยนต์ไฟฟ้าใช้ขับเคลื่อนมาจากแบตเตอรี่ ทำให้ระยะทางการขับขี่ขึ้นอยู่กับขนาดของแบตเตอรี่ที่ใช้งาน หากต้องใช้งานเดินทางระยะไกลอาจจะต้องมีการคำนวณให้รอบคอบเสียก่อน

3. การบำรุงรักษา

ในปัจจุบันอู่ซ่อมรถยนต์ไฟฟ้ายังหาได้ยากกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมัน และด้วยความเฉพาะของระบบจึงอาจจะทำให้ระยะเวลาการซ่อมบำรุงใช้เวลานานกว่าปกติ

จะเห็นได้ว่าการใช้รถยนต์ไฟฟ้านั้นมีข้อดี คือ ประหยัดค่าใช้จ่ายและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ส่วนข้อเสียคือระยะทางในการขับขี่ที่ยังต้องขึ้นอยู่กับขนาดของแบตเตอรี่ รวมถึงจุดชาร์จไฟที่ยังมีไม่มากพอ ซึ่งก็ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจซื้อเลยทีเดียว

อ่านมาถึงตรงนี้หลายคนคงมีคำตอบในใจแล้วว่าสุดท้ายจะเลือกรถยนต์ไฟฟ้าแบบไหนดี ทางที่ดีควรคำนึงจากการใช้ชีวิตประจำวันเป็นหลักว่าในแต่ละวันเรามีการเดินทางอย่างไรบ้าง และสำรวจตัวเองให้แน่ชัดว่าต้องการอะไรจากการใช้รถ เช่น ราคา ความประหยัด ความคุ้มค่า ดีไซน์ และอาจจะรวมไปถึงการรักษาสิ่งแวดล้อมด้วย

สำหรับใครที่กำลังมองหาทั้งรถยนต์ไฟฟ้าคันใหม่และบ้านหลังใหญ่ วันนี้อารียามีโปรโมชันดีๆ มานำเสนอ

โปรโมชัน COLORS FREEVERRR ซื้อบ้านแถมรถ

ซื้อทาวน์โฮม The Colors วันนี้ จับคู่ฟรีเว่อออ! รถยนต์ไฟฟ้า EV มูลค่ากว่า 420,000 บาท* ทันที วันนี้-30 พ.ย. 65 เท่านั้น! ลงทะเบียนฟรีเว่อออก่อนใคร ที่นี่

THE COLORS (เดอะ คัลเลอร์ส)

โครงการบ้านสองชั้นในรูปแบบทาวน์โฮมขนาดใหญ่ มาพร้อมฟังก์ชันที่ครบ คุ้มทุกตารางเมตร เน้นสเปซกว้างตอบโจทย์ทุก Activity ของทุกคนในครอบครัว ราคาบ้านเริ่มต้น 1.89 ล้าน* บน 4 ทำเลรอบเมือง ได้แก่

o    THE COLORS บางบัวทอง 340 ราคาเริ่ม 1.89 ล้านบาท
•    ทาวน์โฮมสไตล์ทรอปิคอล 2 ชั้น มีแบบบ้านให้เลือก 2 แบบ
–    Pastel A : 4 ห้องนอน 2 ที่จอดรถ พื้นที่ใช้สอย 118 ตร.ม.
–    Pastel B : 3 ห้องนอน 1 ที่จอดรถ พื้นที่ใช้สอย 105 ตร.ม.

o    THE COLORS  ลำลูกกา-คลอง 4 ราคาเริ่ม 2.39 ล้านบาท
•    ทาวน์โฮมสไตล์โมเดิร์น 2 ชั้น 4 ห้องนอน 2 ที่จอดรถ
–    พื้นที่ใช้สอยขนาด 118 ตร.ม.
–    มาพร้อมคลับเฮ้าส์ขนาดใหญ่ และสวนสีเขียวรอบโครงการ
–    เดินทางสะดวกเพียง 10 นาที จากวงแหวนกาญจนาภิเษกฯ

o    THE COLORS บางนา-วงแหวนฯ ราคาเริ่ม 2.89 ล้านบาท
•    ทาวน์โฮมสไตล์โมเดิร์นทรอปิคอล  2 ชั้น 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ 1 Multi-purpose Room
–    พร้อมที่จอดรถ 2 คันทุกหลัง ตอบโจทย์ทุกชีวิตของคนเมือง ใกล้เมกาบางนา

o    THE COLORS รามอินทรา-หทัยราษฎร์ ราคาเริ่ม 2.99 ล้านบาท
•    พรีเมียมทาวน์โฮม หน้ากว้าง 5.7 ม. พร้อมพื้นที่ใช้สอย 130 ตร.ม.
–    4 ห้องนอน Master Bedroom เพดานสูงถึง 3 ม. จอดรถ 2 คัน พร้อมลงเสาเข็มเท่าตัวบ้าน

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด

ฤกษ์ขึ้นบ้านใหม่ ปลายปี 2565 วันไหนดีเดือนไหนปัง เช็กเลย

ฤกษ์ขึ้นบ้านใหม่ ปลายปี 2565

วันไหนดีเดือนไหนปัง เช็กเลย

ฤกษ์ขึ้นบ้านใหม่ หรือฤกษ์สำหรับการย้ายเข้าบ้านใหม่ ถือเป็นอีกเรื่องสำคัญสำหรับคนมีบ้าน หลังการเลือกซื้อบ้าน คอนโด และมีการตรวจบ้านโอนบ้านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก่อนการเข้าอยู่เพื่อความเป็นสิริมงคลของชีวิต คนไทยมักหาวันที่เป็นฤกษ์ดีในการย้ายบ้าน โดยการทำพิธีขึ้นบ้านใหม่ เพื่อเอาฤกษ์เอาชัย เพิ่มความเป็นสิริมงคลให้แก่บ้าน และครอบครัวของตนเองก่อนการเข้าอยู่อาศัยจริง จึงควรมีการเลือกวันในทางโหราศาสตร์ไทยที่เรียกว่า ฤกษ์มงคลในการทำพิธีขึ้นบ้านใหม่สำหรับครึ่งปีหลังของปี 2565 ในแต่ละเดือนที่เหลือจะมีวันไหนที่เป็นฤกษ์ดี ฤกษ์มงคลขึ้นบ้านใหม่กันบ้าง ไปเลือกดูกันได้เลย

ความหมายของฤกษ์

ฤกษ์มงคล ถือเป็นช่วงเวลาที่เป็นสิริมงคลแก่ผู้ที่คิดจะกระทำการใดๆ ในช่วงเวลานั้น ซึ่งในทางโหราศาสตร์ไทยได้กำหนดฤกษ์ไว้ทั้งหมด 9 ฤกษ์ แต่จะมีเพียง 4 ฤกษ์เท่านั้น ที่ถือว่าเป็นฤกษ์ที่ดีและเหมาะแก่การทำพิธีมงคล ดังนี้

  1. มหัทธโณฤกษ์ แปลว่า ผู้มั่งมี ผู้รุ่งเรือง ความเป็นเศรษฐี จึงเป็นฤกษ์ที่เหมาะสำหรับงานมงคล ได้แก่ งานขึ้นบ้านใหม่ งานแต่งงาน พิธีลงเสาเอก ปลูกสร้างอาคาร เปิดธุรกิจห้างร้านใหม่ การลาสิกขาบท และการทำพิธีสะเดาะเคราะห์ต่างๆ
  2. ภูมิปาโลฤกษ์ แปลว่า ผู้รักษาแผ่นดิน เป็นฤกษ์ที่เหมาะสำหรับงานมงคลที่เกี่ยวกับความมั่นคง ยั่งยืน ได้แก่ งานเกี่ยวกับที่ดิน การเกษตร การเช่าซื้อ การก่อสร้าง ยกศาลพระภูมิ งานแต่งงาน งานขึ้นบ้านใหม่ ลาสิกขาบท และการเปิดอาคารห้างร้าน เป็นต้น
  3. เทวีฤกษ์ แปลว่า นางพญา ความมีเสน่ห์ ความงาม โชคลาภ และความสมปรารถนา เอื้อสำหรับผู้ที่ต้องการเข้าหาผู้ใหญ่ การหมั้นหมายและการสมรส ส่งตัวเจ้าสาว และฤกษ์เข้าห้องหอ การทำกิจการที่เกี่ยวข้องกับความมีเสน่ห์ มีชื่อเสียง งานที่ต้องการความหรูหราและมีเกียรติ เปิดร้านเครื่องประดับ ร้านเสริมสวย การขึ้นบ้านใหม่ และงานมงคลต่างๆ
  4. ราชาฤกษ์ แปลว่า ผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ที่มีอำนาจวาสนา พระเจ้าแผ่นดิน เป็นฤกษ์ที่เหมาะกับงานพระราชพิธี งานราชการ งานเมือง การเข้ารับตำแหน่ง การเข้าหาผู้ใหญ่ งานมงคลสมรสที่ยิ่งใหญ่และมีเกียรติ การลาสิกขาบท การขึ้นบ้านใหม่ และงานมงคลต่างๆ

ฤกษ์ทั้ง 4 ที่กล่าวมาทั้งหมดข้างต้นสามารถนำมาเลือกใช้เป็นวันมงคลสำหรับพิธีขึ้นบ้านใหม่ได้ทั้งหมด ถ้าพร้อมแล้วตามไปดูกันเลยว่าฤกษ์สำหรับการขึ้นบ้านใหม่ในแต่ละเดือนของครึ่งปีหลัง 2565 จะมีฤกษ์มงคลวันไหนบ้าง

ฤกษ์ดี ฤกษ์มงคล ฤกษ์ขึ้นบ้านใหม่เดือนตุลาคม 2565  

1 วันอังคารที่ 4 ตุลาคม 2565
●    เวลา 10:23-11:28 น. เป็นราชาฤกษ์
●    เวลา 13:32-14:27 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์
●    เวลา 15:22-16:17 น. เป็นภูมิปาโลฤกษ์
ยกเว้น ผู้ที่เกิดวันอาทิตย์และวันพุธกลางวัน ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

2 วันพุธที่ 5 ตุลาคม 2565
●    เวลา 07:26-08:21 น. เป็นเทวีฤกษ์
●    เวลา 10:11-11:06 น. เป็นราชาฤกษ์
●    เวลา 12:26-13:21 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์
●    เวลา 15:16-16:11 น. เป็นภูมิปาโลฤกษ์
ยกเว้น ผู้ที่เกิดวันพุธกลางคืนและวันเสาร์ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

3 วันเสาร์ที่ 15 ตุลาคม 2565
●    เวลา 09:24-10:18 น. เป็นราชาฤกษ์
●    เวลา 12:32-13:27 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์
●    เวลา 14:17-15:12 น. เป็นภูมิปาโลฤกษ์
ยกเว้น ผู้ที่เกิดวันพฤหัสบดีและวันศุกร์ ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

4 วันอาทิตย์ที่ 16 ตุลาคม 2565
●    เวลา 09:16-10:11 น. เป็นราชาฤกษ์
●    เวลา 12:27-13:22 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์
ยกเว้น ผู้ที่เกิดวันจันทร์และวันอังคาร ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

5 วันพุธที่ 26 ตุลาคม 2565
●    เวลา 08:24-09:15 น. เป็นราชาฤกษ์
●    เวลา 11:33-12:26 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์
●    เวลา 13:23-14:18 น. เป็นภูมิปาโลฤกษ์
ยกเว้น ผู้ที่เกิดวันพุธกลางคืนและวันเสาร์ ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

6 วันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม 2565
●    เวลา 11:12-12:05 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์
●    เวลา 12:56-13:51 น. เป็นภูมิปาโลฤกษ์
●    เวลา 15:09-16:04 น. เป็นราชาฤกษ์
ยกเว้น ผู้ที่เกิดวันจันทร์และวันอังคาร ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

7 วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม 2565
●    เวลา 05:59-06:54 น. เป็นเทวีฤกษ์
●    เวลา 07:49-08:44 น. เป็นราชาฤกษ์
ยกเว้น ผู้ที่เกิดวันอังคารและวันพฤหัสบดี ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

ฤกษ์ดี ฤกษ์มงคล ฤกษ์ขึ้นบ้านใหม่เดือนพฤศจิกายน 2565  

1 วันพุธที่ 9 พฤศจิกายน 2565
●    เวลา 07:09-08:04 น. เป็นราชาฤกษ์
●    เวลา 10:20-11:19 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์
●    เวลา 12:14-13:09 น. เป็นภูมิปาโลฤกษ์
ยกเว้น ผู้ที่เกิดวันพุธกลางคืนและวันเสาร์ ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

2 วันศุกร์ที่ 18 พฤศจิกายน 2565
●    เวลา 09:33-10:28 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์
●    เวลา 11:23-12:18 น. เป็นภูมิปาโลฤกษ์
●    เวลา 13:31-14:26 น. เป็นราชาฤกษ์
●    เวลา 16:19-17:14 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์
ยกเว้น ผู้ที่เกิดวันเสาร์และวันอาทิตย์ ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

3 วันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน 2565
●    เวลา 09:20-10:15 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์
●    เวลา 11:10-12:05 น. เป็นภูมิปาโลฤกษ์
●    เวลา 13:19-14:14 น. เป็นราชาฤกษ์
●    เวลา 16:07-17:02 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์
ยกเว้น ผู้ที่เกิดวันพฤหัสบดีและวันอังคาร ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

ฤกษ์ดี ฤกษ์มงคล ฤกษ์ขึ้นบ้านใหม่เดือนธันวาคม 2565  

1 วันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม 2565
●    เวลา 08:19-09:14 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์
●    เวลา 10:09-11:04 น. เป็นภูมิปาโลฤกษ์
●    เวลา 12:19-13:14 น. เป็นราชาฤกษ์
●    เวลา 15:06-16:01 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์
ยกเว้น ผู้ที่เกิดวันอังคารและวันพฤหัสบดี ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

2 วันอังคารที่ 6 ธันวาคม 2565
●    เวลา 05:19-06:14 น. เป็นราชาฤกษ์
●    เวลา 08:19-09:10 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์
ยกเว้น ผู้ที่เกิดวันอาทิตย์และวันพุธกลางวัน ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

3 วันศุกร์ที่ 9 ธันวาคม 2565
●    เวลา 08:02-08:57 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์
●    เวลา 09:52-10:47 น. เป็นเทวีฤกษ์
●    เวลา 11:12-12:07 น. เป็นราชาฤกษ์
●    เวลา 14:00-14:56 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์
ยกเว้น ผู้ที่เกิดวันเสาร์และวันอาทิตย์ ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

4 วันพุธที่ 21 ธันวาคม 2565
●    เวลา 07:14-08:09 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์
●    เวลา 09:04-09:59 น. เป็นภูมิปาโลฤกษ์
●    เวลา 11:12-12:07 น. เป็นราชาฤกษ์
ยกเว้น ผู้ที่เกิดวันพุธกลางคืนและวันเสาร์ ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

ใครกำลังมองหาฤกษ์ดี ฤกษ์มงคลขึ้นบ้านใหม่ก็สามารถเลือกวันกันได้ เพื่อความเป็นสิริมงคล และนอกจากทางโหราศาสตร์ไทยแล้ว ในทางศาสตร์จีนเรื่องของฮวงจุ้ยบ้าน บ้านทิศไหนดีที่สุด หรือฮวงจุ้ยห้องต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ฮวงจุ้ยห้องรับแขก ฮวงจุ้ยรับห้องนอน ฮวงจุ้ยห้องครัว ล้วนแล้วแต่มีส่วนสำคัญที่จะช่วยเสริมพลังและความเป็นสิริมงคลของบ้านได้อีกทาง โดยสามารถอ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับการปรับแต่งบ้านตามหลักฮวงจุ้ยได้ที่ “ปรับฮวงจุ้ยบ้านปั๊บ ชีวิตเปลี่ยน”

ส่วนใครที่กำลังวางแผนซื้อบ้านใหม่ และกำลังมองหาบ้านที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตในแบบของคุณ อารียามีโครงการที่อยู่อาศัยให้เลือกอย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น โครงการบ้านเดี่ยว, โครงการ เดอะ วิลเลจ, ทาวน์โฮม, โฮมออฟฟิศ และ คอนโดมิเนียม เลือกบ้านใหม่กันได้แล้วก็จองคิวขึ้นบ้านใหม่กันได้เลยทันที ถือว่ารับทั้งทรัพย์ และความเป็นสิริมงคลไปพร้อมๆ กัน

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก www.ddproperty.com

บ้านหลังที่สอง ทำตามนี้กู้ผ่านแน่นอน

บ้านหลังที่สอง ทำตามนี้กู้ผ่านแน่นอน

สำหรับใครที่เคยกู้ซื้อบ้าน หรือกู้ซื้อคอนโดหลังแรกไปแล้ว แต่อยากขยับขยายครอบครัว หรือต้องการพื้นที่ใช้สอยของบ้านเพิ่มขึ้น และต้องการซื้อบ้านหลังที่สอง ควรมีการวางแผนการกู้เงินซื้อบ้าน หรือกู้เงินซื้อคอนโดล่วงหน้า เพื่อเตรียมความพร้อมในการยื่นขอสินเชื่อให้ผ่านแบบฉลุย มาดูกันว่าการยื่นกู้ซื้อบ้านหลังที่สองให้ผ่านอย่างไร้กังวล ต้องรู้และวางแผนอย่างไรบ้าง

สิ่งที่ต้องรู้เกี่ยวกับการวางเงินดาวน์

การกู้ซื้อบ้านหลังที่สองจะมีเงื่อนไขการวางเงินดาวน์ และเกณฑ์ในการวางเงินดาวน์ ตามมาตรการกำหนดเงินดาวน์ขั้นต่ำ หรืออัตราส่วนสินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (LTV) ได้ถูกประกาศใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2562 กำหนดให้ผู้กู้ต้องวางเงินดาวน์ตามเงื่อนไข ดังนี้

  • บ้านหลังที่ 2 ที่มีราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาท และผ่อนชำระหลังแรกตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป จะต้องวางเงินดาวน์ 10%
  • บ้านหลังที่ 2 ที่มีราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาท และผ่อนชำระหลังแรกยังไม่ถึง 3 ปี จะต้องวางเงินดาวน์ 20%
  • บ้านหลังที่ 2 ที่มีราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป จะต้องวางเงินดาวน์ 20%
  • บ้านหลังที่ 3 ขึ้นไปในทุกระดับราคา จะต้องวางเงินดาวน์ 30%

แต่เนื่องจากมีมาตรการผ่อนคลาย LTV ชั่วคราว สำหรับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 20 ตุลาคม 2564 ถึง 31 ธันวาคม 2565 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และความต้องการซื้อที่อยู่เพิ่มเติมสำหรับผู้ที่มีกำลังซื้อ ทำให้ผู้ที่ต้องการกู้ซื้อบ้านหรือคอนโดหลังที่สองขึ้นไป สามารถวางเงินดาวน์ต่ำสุดได้ที่ 0% ของมูลค่าบ้าน ซึ่งควรรีบตัดสินใจซื้อก่อนสิ้นปี เพื่อรับมาตรการผ่อนคลายโดยไม่ต้องกังวลเรื่องเงินดาวน์ตามเกณฑ์เดิม หากเกินช่วงเวลาดังกล่าวไป เกณฑ์ในการวางเงินดาวน์ขั้นต่ำหรืออัตราส่วนสินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (LTV) จะกลับมามีผลใช้โดยทันที

ตรวจสอบยอดกู้บ้านหลังแรก

การกู้บ้านหลายหลังย่อมเป็นภาระหลายทาง และอาจทำให้วงเงินกู้ของบ้านหลังที่สองไม่เพียงพอ หรือกู้ไม่ผ่าน หากเป็นไปได้ ถ้ายอดหนี้คงเหลือไม่มากควรปิดหนี้เดิมก่อนการกู้ซื้อบ้านหลังที่สอง เพื่อทำให้วงเงินกู้อนุมัติได้สูงขึ้น

ยกตัวอย่าง เช่น คุณวินัยต้องการจะซื้อบ้านหลังที่สองในราคา 4 ล้านบาท ซึ่งยังคงเหลือยอดหนี้อยู่ 3 แสนบาท

  • หากไม่ทำการปิดหนี้กู้บ้านหลังแรกจะสามารถกู้ได้เพียง 90% หรือจำนวน 3.6 ล้านบาท โดยจะต้องหาเงินจำนวน 4 แสนบาทมาชำระค่าบ้านเพิ่มเติมในส่วนที่ขาดไป
  • หากปิดหนี้บ้านหลังแรกที่เหลือ 3 แสนบาท จะสามารถกู้ซื้อบ้านได้ถึง 100% หรือ 4 ล้านบาท (รวมค่าตกแต่งด้วย)

ทั้งนี้ วิธีการปิดหนี้แม้จะทำให้วงเงินกู้อนุมัติได้สูงขึ้น แต่ก็จะทำให้ยอดผ่อนและดอกเบี้ยเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน ขึ้นอยู่กับความต้องการของลูกค้าว่าต้องการแบบไหน

ตรวจสอบภาระหนี้สิน

โดยปกติแล้วการยื่นกู้บ้าน ทางธนาคารมักจะพิจารณาวงเงินกู้ได้ไม่เกิน 40% ของรายได้ ดังนั้น หากมีภาระหนี้สูง ก็จะส่งผลให้วงเงินอนุมัติที่ได้ลดน้อยลงไปด้วย ตัวอย่าง เช่น หากมีรายได้ 50,000 บาท โดยธนาคารกำหนดค่าผ่อนชำระสินเชื่อไม่เกิน 50% ของรายได้ หากไม่มีภาระหนี้สินอื่นๆ ก็จะผ่อนบ้านได้เดือนละ 25,000 บาท แต่ถ้ามีภาระหนี้สินอื่นๆ เช่น ผ่อนซื้อรถยนต์เดือนละ 10,000 บาท ก็จะผ่อนบ้านได้เพียง 15,000 บาท

นอกจากธนาคารจะพิจารณาหนี้สินและค่าใช้จ่ายที่แสดงในเครดิตบูโรแล้ว ตามหลักเกณฑ์ใหม่ของธนาคารแห่งประเทศไทย ยังนับรวมสินเชื่อที่กู้จากบริษัทที่ทำงานอยู่มาร่วมพิจารณาวงเงินอีกด้วย เช่น การกู้บ้านกับสวัสดิการที่ทำงาน การหักเงินออม หรือการกู้ต่างๆ ซึ่งธนาคารจะพิจารณาจากสลิปเงินเดือนย้อนหลัง (Statement) ที่มีการถูกหักในแต่ละเดือนด้วยอีกทาง หากมีการคำนวณค่าใช้จ่ายและภาระหนี้สินปัจจุบันทั้งหมด อาจมีผลต่อการอนุมัติวงเงินที่จะได้น้อยลง ทางที่ดี ควรรีบเคลียร์หนี้เก่าให้เรียบร้อยเสียก่อน หรือหาคนในครอบครัวมากู้ร่วมด้วย ก็เป็นอีกทางเลือกที่จะทำให้วงเงินกู้ถูกอนุมัติเพิ่มขึ้นนั่นเอง

หลังจากศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการวางแผนสำหรับการกู้ซื้อบ้านหลังที่สอง และเตรียมความพร้อมตามเงื่อนไขข้างต้นเรียบร้อยแล้ว ควรสอบถามเงื่อนไขอื่นๆ เพิ่มเติมในการเตรียมเอกสารจากธนาคารที่ต้องการกู้ซื้อบ้านหลังที่สองด้วย เพื่อความครบถ้วนของเอกสาร เมื่อทำการยื่นกู้ก็จะสามารถลดขั้นตอน ประหยัดเวลาในการยื่นเอกสารเพิ่มเติม และสามารถทราบผลการอนุมัติได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย

ดูโครงการบ้านจากอารียา และรับคำปรึกษาเรื่องการขอสินเชื่อเพื่อการซื้อบ้านหลังที่สอง ได้ที่นี่

รู้ก่อนกู้ อัตราดอกเบี้ย MRR MLR MOR คืออะไร

รู้ก่อนกู้ อัตราดอกเบี้ย MRR MLR MOR คืออะไร

สำหรับมือใหม่ที่กำลังวางแผนจะซื้อบ้านด้วยวิธีการผ่อน จะไม่สามารถผ่อนบ้านกับโครงการได้โดยตรง แต่ต้องดำเนินการขอสินเชื่อบ้านกับธนาคาร และแน่นอนว่าต้องมีเรื่องของ “ดอกเบี้ยบ้าน” เข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งเงื่อนไขเกี่ยวกับดอกเบี้ยบ้าน มักจะมีคำศัพท์เฉพาะที่ชวนให้สงสัยว่าคืออะไร เช่น Fixed Rate, Floating Rate รวมถึงอักษรย่อคุ้นตาอย่าง MLR MRR และ MOR ที่คนผ่อนบ้าน หรือผ่อนคอนโดทุกคนควรรู้ ว่าแต่ตัวย่อเหล่านี้มีความหมายว่าอะไร และมีความสำคัญอย่างไรกับอัตราดอกเบี้ยบ้านที่ต้องเจอ บทความนี้จะทำให้คุณเข้าใจเรื่องของ “ดอกเบี้ยบ้าน” ได้แบบง่ายๆ ภายในไม่กี่นาที ถ้าพร้อมแล้วมาเริ่มกันเลย!

อันดับแรกมาทำความเข้าใจเรื่องของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้กันก่อน โดยปกติจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ คือ อัตราดอกเบี้ยแบบคงที่ (Fixed Rate) และอัตราดอกเบี้ยแบบลอยตัว (Floating Rate) ขออธิบายแบบย่อ ดังนี้

–    อัตราดอกเบี้ยแบบคงที่ (Fixed Rate) คือ อัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารกำหนดมาให้แบบคงที่ในระยะสั้นๆ 1-3 ปี ซึ่งจะทำให้ผู้กู้ทราบอัตราดอกเบี้ยล่วงหน้าอย่างชัดเจน ว่าในแต่ละปีต้องจ่ายเงินต้น และดอกเบี้ยเป็นจำนวนเงินเท่าไหร่ในช่วงระยะเวลากี่ปี
–    อัตราดอกเบี้ยแบบลอยตัว (Floating Rate) คือ อัตราดอกเบี้ยที่ทางธนาคารกำหนดมาให้แบบไม่คงที่ ซึ่งจะมีการปรับขึ้น หรือลงได้ด้วยอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงอย่าง MLR MRR MOR (ดูความหมายในข้อหัวถัดไป) โดยการปรับขึ้นหรือลงนี้จะมีผลเกี่ยวเนื่องมาจากปัจจัยทางเศรษฐกิจ และการเงิน ซึ่งแต่ละธนาคารจะกำหนดมาไม่เท่ากัน

ความหมายของ MLR MRR และ MOR

MLR (Minimum Loan Rate) คืออะไร

MLR (Minimum Loan Rate) คือ อัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารกำหนดขึ้นมาสำหรับเรียกเก็บจากลูกค้ารายใหญ่ ที่เป็นลูกหนี้ชั้นดี ประวัติการเงินมีเสถียรภาพ รวมถึงมีการใช้หลักทรัพย์ค้ำประกันที่เพียงพอและน่าเชื่อถือ โดยส่วนใหญ่จะใช้กับการกู้ในระยะยาวที่มีการกำหนดเวลาการกู้ที่แน่นอน เช่น สินเชื่อเพื่อการประกอบธุรกิจ เป็นต้น

ยกตัวอย่าง : ธนาคาร สินทรัพย์ ปล่อยกู้สินเชื่อเพื่อธุรกิจวงเงิน 2,000,000 บาท และมีการอ้างอิง MLR ที่ 5.25% โดยกำหนดอัตราดอกเบี้ย MLR -1% ต่อปี คงที่ 3 ปี แสดงว่าอัตราดอกเบี้ยที่ได้รับจะเปลี่ยนแปลงไปตาม MLR ที่กำหนดตลอดระยะเวลา 3 ปี ดังนั้นอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงจะอยู่ที่ 5.25%-1% =4.25% เป็นต้น

MRR (Minimum Retail Rate) คืออะไร

MRR (Minimum Retail Rate) คือ อัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารกำหนดขึ้นมาเรียกเก็บจากลูกค้ารายย่อยที่เป็นลูกหนี้ชั้นดี มีเครดิตทางการเงินปกติ ไม่มีประวัติเสีย ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้กับการกู้ประเภท สินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย หรือสินเชื่อบ้าน และสินเชื่อคอนโด เป็นต้น

ยกตัวอย่าง : ธนาคาร สินทรัพย์ ปล่อยกู้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย 2,000,000 บาท และมีการอ้างอิง MRR 7% โดยธนาคารกำหนดอัตราดอกเบี้ย ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 5% ปีที่ 2 MRR-0.25% และปีที่ 3 MRR-0.25% แสดงว่าอัตราดอกเบี้ยที่ได้รับจะเปลี่ยนแปลงไปตาม MRR โดยอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงของปีที่ 2 และ 3 จะอยู่ที่ 7-0.25%= 6.75% เป็นต้น

MOR (Minimum Overdraft Rate) คืออะไร

MOR (Minimum Overdraft Rate) คือ อัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารกำหนดขึ้นมาสำหรับเรียกเก็บจากลูกค้ารายใหญ่ที่เป็นลูกหนี้ชั้นดี สำหรับประเภทการเบิกเกินบัญชี หรือที่คุ้นหูในชื่อ “การเบิกเงินเกิน O/D” ซึ่งธนาคารจะต้องมีการตรวจสอบประวัติทางการเงิน และมีการใช้หลักทรัพย์ค้ำประกันที่น่าเชื่อถือ โดยอัตราดอกเบี้ยประเภทนี้จะถูกคิดเฉพาะส่วนที่ถูกเบิกเกินบัญชีเท่านั้น หากมีการโอนเงินส่วนเกินกลับเข้าสู่บัญชี ดอกเบี้ยก็จะหยุดคิดทันที

ยกตัวอย่าง : ธนาคาร สินทรัพย์ ปล่อยกู้สินเชื่อเพื่อธุรกิจ มีอัตราดอกเบี้ยประเภทการเบิกเงินเกิน O/D หรือ MOR 5.95% ดังนั้นการเบิกเงินเกินบัญชีจะคิดอัตราดอกเบี้ยที่ 5.95% โดยอัตราดอกเบี้ยนี้จะอยู่กับประกาศของแต่ละธนาคาร ซึ่งอาจไม่เท่ากัน

หลังจากศึกษารายละเอียดต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับอัตราดอกเบี้ยสำหรับการกู้ซื้อบ้าน และกู้ซื้อคอนโดกันไปแล้ว ชี้ให้เห็นว่าอัตราดอกเบี้ยในส่วนของ MRR เป็นตัวแปรหลักที่กำหนดอัตราดอกเบี้ยสำหรับการกู้ซื้อบ้าน ซึ่ง MRR ของแต่ละธนาคารก็จะไม่เท่ากัน ใครที่กำลังวางแผนซื้อบ้านและคอนโด และต้องการขอสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยกับธนาคาร ควรศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยอย่างละเอียดก่อนการตัดสินใจ โดยสามารถสอบถามรายละเอียดและรับคำปรึกษาในเบื้องต้นจากโครงการบ้าน หรือคอนโดที่ต้องการซื้อด้วยว่ามีโปรโมชั่นดอกเบี้ยต่ำร่วมกับธนาคารใดอยู่บ้าง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยในการตัดสินใจให้คุณได้รับอัตราดอกเบี้ยที่ถูกกว่าการติดต่อขอสินเชื่อโดยตรงกับธนาคาร

ส่วนใครที่กำลังมองหาบ้านหลังแรก หรืออยากได้บ้านใหม่เพิ่มอีกสักหลัง อารียามีโครงการ เดอะ วิลเลจ บ้านสไตล์ American Cottage ที่พร้อมแต่งเติมจินตนาการในบรรยากาศชวนฝัน บนทำเลที่ให้คุณได้เลือกอย่างหลากหลายในราคาเริ่มต้น 3.09 ล้าน* และมีทีมงานมืออาชีพให้คำแนะนำเกี่ยวกับสินเชื่อเพื่อการกู้ซื้อบ้าน โดยสามารถเข้ามาดูโครงการบ้านของอารียาพร้อมรับคำปรึกษาเรื่องอัตราดอกเบี้ยได้ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด ราคาเริ่มของโครงการ เดอะ วิลเลจ กาญจนาภิเษก-ราชพฤกษ์ ณ วันที่ 31 ส.ค. 65